The End We Start From ความท้าทายครั้งใหม่ในชีวิตการแสดงของ Jodie Comer เข้าฉาย 25 มกราคมนี้

| |

สำหรับแฟนๆ ที่ติดตาม Jodie Comer มาก่อนจะทราบกันดีว่า หากเป็นเรื่องสัญชาตญาณในงานแสดงของเธอไม่เป็นสองรองนักแสดงคนอื่นๆ แน่นอน เพราะโจดี้มักจะเลือกรับบทบาทที่ตัวละครที่เล่นกับศีลธรรมในใจคน ตัวละครซับซ้อน มีมิติ จัดอยู่ใน Gray Area เทาๆ ไม่ได้แยกขาว-ดำได้ชัดเจน แต่นั่นก็ทำให้ผู้ชมอย่างเราต้องคอยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเราถึงเชียร์อัพ ให้กำลังใจและรักในตัวละครนี้ทั้งๆ ที่ไม่ควร 

ในช่วง 3-4 ปีให้หลัง เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เธออยากให้ผลงานของเธอสามารถสะท้อนประเด็นที่สำคัญในสังคมที่บางครั้งถูกลืมไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัฐสวัสดิการของอังกฤษระหว่างช่วงวิกฤตโควิด-19 ใน Help, ประเด็นการคุมคามและความรุนแรงทางเพศใน The Last Duel, 2021 ความพังของระบบกฎหมายเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศและมายาคติที่มีต่อเหยื่อที่ถูกข่มขืนในผลงานละครเวทีอย่าง Prima Facie, 2022 ที่ส่งให้นักแสดงสาวที่อายุย่างเข้าเลขสามหมาดได้ทั้ง Olivier Award และ Tony Award มาครอง จน The Sunday Time กล่าวว่า นับเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของโจดี้ โคเมอร์ เป็นยุค ‘The Com-era’ อย่างแท้จริง

เธอให้สัมภาษณ์กับ The Sunday Time ถึงการปรับตัวหลังจากผลงานละครเวทีล่าสุด “มันค่อนข้าง tricky เวลาที่ทำการแสดงบท Tessa ที่ต้องใช้อารมณ์หนักๆ ค่อยขับเคลื่อนตัวละคร ถึงจะรู้ว่า โอเค ไม่เป็นไร แต่บางส่วนในตัวเชื่อไปแล้วว่าสิ่งที่พูด สิ่งที่รู้สึก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประสบการณ์จริง มันยากนะ แต่ก็เป็นความยากที่ฉันเต็มใจทำ มีช่วงที่ฉันหลับไม่ค่อยได้ด้วยล่ะ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องหันกลับมาดูแลตัวเอง”

จึงเกิดคำถามตามมาเกี่ยวกับผลงานหลังจาก Prima Facie ว่าทำไมเธอถึงไม่เลือกรับงานที่ตลกหรือเนื้อหาสนุกเบาๆ หน่อย เพื่อเป็นการพัก “ฉันว่าฉันชอบความท้าทายนะ เพราะมันทำให้เราได้ค้นพบตัวเอง ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบหนังสนุกๆ เบาๆ นะ อย่าง Free Guy ตอนนั้นฉันชอบมากเลยล่ะ ซึ่งมันน่าจะเพียงพอ แต่หลังจากจบไปลึกๆ ข้างในฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดไป ฉันอยากให้งานที่ฉันทำเสมือนกระจกที่กลับไปสะท้อนประสบการณ์ชีวิตผู้ชมได้ในแง่ใดแง่นึงได้ด้วย”

เธอให้สัมภาษณ์กับ The Hollywood Reporter เมื่อถูกถามว่า The End We Start From นับเป็นหมุดหมายที่เธอจัดว่าต้องครองให้ได้ในไทม์ไลน์ชีวิตการแสดง (Timeline of Conquests) ของเธอเลยรึเปล่า?

สำหรับสคริปต์ของ The End We Start From โจดี้บอกว่า มันถูกส่งมาให้ตอนช่วงที่เธอกำลังซ้อม Prima Facie เพื่อจะแสดงในลอนดอน “สคริปต์ถูกส่งมาพร้อมชื่อผู้กำกับอย่าง Mahalia Belo ที่ฉันอยากทำงานด้วยมาสักพักใหญ่แล้ว หลังจากได้ชมผลงานในช่อง Channel 4 และพอรู้ว่าเรื่องนี้ถูกดัดแปลงมาจากเวอร์ชันหนังสือของ Megan Hunter ฉันได้ลองอ่านทั้งหนังสือและสคริปต์ที่ถูกส่งมา เรื่องราวมันติดตรึง มันทำให้ฉันรู้สึกถึงบางอย่าง แล้วยิ่งทำให้ฉันตื่นเต้นด้วยว่า May Belo ตั้งใจจะถ่ายทอดเรื่องออกมาอย่างไร เพื่อให้ความเป็นแม่ (Motherhood) ออกมาถูกต้อง ถ่องแท้ จริงใจที่สุดทั้งในเรื่องที่ดีและในเรื่องที่ผิดพลาดที่อาจเกิดได้ ในช่วงวิกฤติอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ทำให้ลอนดอนต้องจมลงใต้บาดาล”

โจดี้เสริมอีกว่า “อีกหนึ่งความท้าทายของเรื่องนี้คือ วิกฤตการณ์ในเรื่อง มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันไม่ได้ไกลตัวเราอีกต่อไป และมันอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ฉันรู้สึกว่า เรื่องราวสามารถสะท้อนอะไรได้เยอะ โดยเฉพาะตัวฉันเองที่รู้สึกเชื่อมโยงกับบางสิ่งได้ดีถ้าหากมันมีพื้นฐานอยู่บนเรื่องจริง อย่าเข้าใจผิดนะ ทั้ง CGI และ เอฟเฟคในเรื่องมันยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะถ้าคุณมองว่านี่คือภาพยนตร์อิสระแล้วล่ะ แต่ที่มากยิ่งไปกว่านั้นคือ การได้สำรวจลึกลงไปถึงการกระทำของมนุษย์ ว่าเราจะรับมือกับเหตุการณ์และสถานการณ์แบบนี้อย่างไร เราอาจเคยเห็นแค่ภาพยนตร์หลังโลกแตกที่มีชายจมอยู่กับความคิดของเขาเองใช้ชีวิตโดดเดี่ยวในดินแดนรกร้างกับน้องหมาหนึ่งตัว

“แต่ครั้งนี้จะเกิดจากมุมของผู้หญิง แล้วเป็นผู้หญิงที่เพิ่งจะกลายเป็นแม่ลูกอ่อนด้วย ฉันชอบความคิดที่ว่า ผู้หญิงเราคือ everyday hero แม้ไม่ใช่ฮีโร่ที่มีพลังพิเศษไต่ตึกหรือกระโดดข้ามสะพานได้นะ แต่เป็นฮีโร่แบบที่หยั่งรากลึกลงในจิตใจและอารมณ์ต่างหาก ฉันหวังว่าเรื่องนี้จะสามารถทำให้ผู้คนให้ตระหนักเรื่องนี้มากขึ้น”

‘The End We Start From อุ้มลูกฝ่าวิปโยค’ มีกำหนดฉายในไทย 25 มกราคมนี้

The End We Start From - Official Trailer [ ตัวอย่างซับไทย ]
Previous

The Beekeeper ลุยเดี่ยวถึงรังคนชั่วซัดให้หายแค้น ถอนรากถอนโคตรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลวงโลก

Future Islands เปิดตัวเพลงใหม่ “Say Goodbye” ก่อนออกอัลบั้มเต็ม People Who Aren’t There Anymore

Next