Lindsey Jordan หรือที่รู้จักกันในนาม Snail Mail ศิลปินสาววัย 22 ปี เจ้าของเพลง “Heat Wave”, “Pristine” และอัลบั้มที่หลายคนชื่นชอบอย่าง “Lush” ในปี 2018 งานชุดแรกที่แจ้งเกิดและทำให้เธอกลายเป็นขวัญใจแฟนเพลงอินดี้นับตั้งแต่นั้น กลับมาพร้อมอัลบั้มชุดใหม่ Valentine ภายใต้ต้นสังกัด Matador Records
เส้นทางการเป็นศิลปินของ Snail Mail เริ่มขึ้นตั้งแต่เธออายุเพียง 5 ขวบ ในตอนนั้นเป็นช่วงที่เธอเริ่มเล่นกีตาร์ และจนกระทั่งช่วงไฮสกูล เธอได้เรียนกีตาร์กับ Mary Timory นักร้องวง Helium เขาบอกว่า ก่อนที่ลินซี่ย์จะมาเรียนกับเขา เธอเล่นกีตาร์ได้ดีมากอยู่แล้ว ส่วนทางลินซี่ย์เองก็เสริมว่า ก็เพราะเขาช่วยสอนเกี่ยวกับการเล่นกีตาร์ทำให้ฝีมือของเธอพัฒนามากขึ้นกว่าเดิม
Valentine
Valentine นับเป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 2 ของ Snail Mail อัลบั้มชุดนี้ Snail Mail เป็นคนโปรดิวซ์งานเพลงเองร่วมกับ Brad Cook โปรดิวเซอร์ที่เคยร่วมงานกับศิลปินอย่าง Bon Iver, Waxahatchee
อัลบั้มชุดนี้มีคอนเซปต์และอารมณ์หลากหลายอัดแน่นอยู่ภายใต้บทเพลง ไม่ว่าจะเป็น ความโรแมนติก ความอกหัก ความโกรธ และการแก้แค้น ผ่านดนตรีที่มีการยกระดับจากอัลบั้มชุดแรก ขณะที่เสียงร้องของ Snail Mail ก็มีความดิบและแทงใจขึ้น รวมถึงสื่ออารมณ์ออกมาได้ลึกซึ้งกว่าเดิม
นอกจากนี้ Snail Mail เปิดเผยถึงเหตุผลที่อัลบั้มชุด Valentine ปล่อยห่างจากอัลบั้มชุดแรกนานเกือบ 3 ปี โดยเธอกล่าวว่า “ฉันต้องการใช้เวลามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้แน่ใจว่าฉันพอใจกับทุกๆ รายละเอียดในอัลบั้ม ก่อนที่จะปล่อยให้ทุกคนฟัง มันเป็นงานที่ฉันได้ปล่อยพลัง ไปพร้อมๆ กับการเยียวยาตัวเองไปด้วย บอกได้เลยว่า Valentine คืออัลบั้มที่ฉันเฝ้าดูการเติบโต และก็ภูมิใจกับมันมาก”
จุดเริ่มต้นของอัลบั้มนี้เกิดหลังจากที่ Snail Mail ปล่อยอัลบั้ม Lush และทัวร์คอนเสิร์ตในหลายๆ ประเทศ ต่อมาเธอตัดสินใจพักจากวงการเพลง ทาง Katie Crutchfield จากวง Waxahatchee ก็ได้เขียนถึง Snail Mail ใน Album biography ว่าช่วงเวลานั้นเธอไปบำบัดอยู่ที่ Arizona ซึ่งเป็นที่ที่เธอเริ่มทำอัลบั้มใหม่ให้รูปเป็นร่างมากขึ้นแม้ว่าจะไม่มีโอกาสเล่นดนตรีเลยก็ตาม และในปีนี้เธอได้ไปอัดเพลงอัลบั้มใหม่กับ Brad Cook ที่สตูดิโอของเขาที่เมืองเดอร์แฮม
ลินซี่ย์เล่าถึงตอนที่เธอทำงานกับแบรดว่า “เขาเป็นกันเองมากๆ เวลาอยู่กับฉัน ฉันไม่เคยเจอใครที่ทำงานร่วมกันง่ายขนาดนี้มาก่อน เขาเป็นคนสบายๆ รวมถึงเสียงของเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจด้วยเช่นกัน ปกติฉันจะอัดประมาณ 1-2 เทค เหมือนกับตอนที่ฉันอัดเดโม่เอง แต่บางครั้งก็มีอาจจะอัดไปถึง 40 เทคเพราะว่าฉันต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ แบรดเชื่อมั่นในตัวฉันมากๆ คุณจะรู้สึกได้ตอนที่มีคนๆ หนึ่งที่เคารพคุณและเชื่อมั่นในตัวคุณ เขาทำให้ฉันรู้สึกว่า ‘พวกเราจะทำมันด้วยกันในสิ่งที่คุณรู้สึกว่ามันใช่ ผมเชื่อใจคุณในฐานะศิลปินและโปรดิวเซอร์'”
เธอพยายามเขียนอัลบั้ม Valentine ทันทีหลังจากปล่อยอัลบั้ม Lush แต่นั้นเธอกำลังทัวร์คอนเสิร์ต และมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะทำมันเวลาที่มีคนอื่นๆ อยู่ด้วย พวกเราเป็นเหมือนกับเด็กในตอนที่เริ่มทัวร์คอนเสิร์ต แล้วก็จะกลับกลายเป็นผู้ใหญ่ตอนที่จบทัวร์ มันก็แปลกดี เธอยังเล่าต่อว่า “ตอนนั้นฉันเพิ่งจะอายุ 20 และกำลังเล่นเพลงที่ฉันเขียนตอนที่อายุ 17 ฉันคิดขึ้นมาว่า ‘แย่ละ ฉันยังไม่ได้ทำอัลบั้มเลย’ มันเป็นโมเมนต์ที่ฉันรู้สึกกลัวมากๆ”
Snail Mail เผชิญกับ Artist’s Block
ลินซี่ย์เล่าว่า “ยิ่งตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันคิดอยู่ตลอดเลยว่าการแต่งเพลงเปรียบเสมือนกับบ่อน้ำ ทุกๆ ครั้งที่ตักน้ำขึ้นมา น้ำก็จะค่อยๆ หมดไป (เหมือนกับไฟในการแต่งเพลงจะค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ) ตอนที่ฉันทำอัลบั้ม Lush เสร็จ ฉันใช้เวลานานมากในการเขียนเพลง ความรู้สึกเหมือนกับว่า ‘พอกันที’ ในเวลานั้นฉันรู้สึกว่าอารมณ์แปรปรวน ว่างเปล่า และต้องการอยู่กับตัวเองสักพัก ฉันรู้เลยว่าคงจะอีกหลายเดือนกว่าฉันจะทำอัลบั้มใหม่ได้ เหมือนกับว่าสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้น ฉันรู้สึกแบบ ‘เฮ้อ ต้องทำอัลบั้มอีกแล้วเหรอ’ มันเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกตลอดเวลาที่ฉันทำอัลบั้ม Valentine ซึ่งฉันไม่ได้เริ่มทำมันจริงๆ จังๆ จนกระทั่งตอนที่ฉันกลับไปหาพ่อแม่ที่เมืองบัลติมอร์ ในช่วงแรกๆ เลยของการระบาดใหญ่ของโควิด 19”
ตอนที่ฉันกลับไปบ้านที่เคยอยู่สมัยเด็ก ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยนอกจากแต่งเพลง ฉันเลยใช้เวลาอยู่มันทั้งวัน มือของฉันก็มีแผลพุพองเต็มไปหมดจากการเล่นกีตาร์ ในมุมนึงมันก็ดีนะที่ได้กลับมาอยู่ในที่เดิมๆ เพราะบางครั้งฉันรู้สึกว่าฉันอยากจะย้อนเวลากลับไปสมัยที่ฉันเขียนเพลงอัลบั้ม Lush ถึงฉันไม่ได้ใช้กีตาร์กับแอมป์อันเดิมแล้ว แต่การที่ได้อยู่ในที่ที่เคยอยู่ตอนเด็ก ทำให้ฉันรู้สึกถึงตอนที่ดนตรีมันเป็นสิ่งที่ใช่สำหรับฉัน ตอนที่ฉันกำลังกลับจากโรงเรียนและเขียนมันลงในไดอารี่ ตอนนั้นแหละฉันก็รู้เลยว่า ‘ไฟในการแต่งเพลงมันกลับมาแล้ว’
Snail Mail และมุมมองความรักของเธอ
ในอัลบั้มนี้กับอัลบั้มก่อนหน้า มีจุดนึงที่เธอรู้สึกว่าคงจะทนไม่ได้ ถ้าคนๆ นึงออกไปจากชีวิต แต่ต่อมาเธอก็คิดได้ว่าไม่จำเป็นที่เธอจะต้องรู้สึกรุนแรงขนาดนั้น ความรักมีอีกหลายแง่มุม และในตอนนี้เธอก็เชื่อว่า ‘สิ่งต่างๆ รวมถึงความรักเปลี่ยนตามกาลเวลา ทุกครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลง เราก็ยิ่งได้เรียนรู้จากมัน’ ส่วนเรื่องของความโรแมนติกนั้น ลินซี่ย์ก็ได้บอกว่า “แน่นอนเลยว่าเธอเป็นคนโรแมนติก ถึงขั้นคลั่งรักเลยล่ะ”
เสียงร้องของ Snail Mail
ในอัลบั้มนี้สิ่งเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดคือ เสียงร้องของ Snail Mail เธอเผยว่า “ที่จริงฉันไปลงเรียนร้องเพลงหลังจากทำอัลบั้ม Vatentine เสร็จ มันคงเป็นเพราะเสียงของฉันมันทุ้มขึ้นมากกว่า ตอนแรกฉันไม่รู้ว่าการเป็นผู้ใหญ่จะทำให้เสียงเปลี่ยนเป็นยังไง แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ฉันเจอคนเตือนกันว่าถ้าออกไปเที่ยวกลางคืนหรือนอนหลับไม่เพียงพอ เสียงก็จะแหบ โดยส่วนมากนะ รวมถึงการใช้เสียงมากเกินไปแม้ว่าจะไม่ได้ตะโกน หรือการนอนดึกเกินไป เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพเส้นเสียงกลายเป็นสิ่งใหม่ที่ฉันกำลังให้ความสนใจอยู่ในตอนนี้”
ช่วงที่กลับมาอัดเพลงที่สตูดิโอ หลังจากทัวร์มาอย่างหนักหน่วง มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นชัดเจน เธอบอกว่าตอนอัลบั้ม Lush เสียงของเธอไม่สมูทเท่าตอนนี้ ตอนนั้นเธอยังไม่รู้วิธีการร้อง ก็เลยร้องในแบบที่คิดว่ามันถูก สุดท้ายเสียงของเธอก็พัง ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเธอร้องแบบตะโกนมากเกินไป ส่วนการร้องในอัลบั้ม Valentine มันเกิดจากการที่ฉันศึกษาเรื่องสุขภาพเสียงมาอย่างดี ซึ่งมันก็ฉันกลัวมากๆ ที่จะเจอกับการเสียงพัง
ทำไมอัลบั้มถึงใช้ชื่อนี้
ตอนแรกเพลง Valentine จะชื่อใช้ว่า Adore You แต่พอตอนที่เธอคิดท่อนคอรัส “Why’d you wanna erase me, darling valentine?” ท่อนนี้ออก เธอก็รู้เลยว่าอัลบั้มนี้ควรจะใช้ชื่อว่า Valentine เพราะมันสุดจะเศร้า นั่นแหละ มันคือ Snail Mail สุดๆ
Valentine [track by track]
VALENTINE
สำหรับเพลงแรกของอัลบั้มอย่าง Valentine ถือเป็นเพลงที่ทำให้เห็นถึงพัฒนาการทางด้านดนตรีของ Snail Mail ได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นท่อนคอรัสที่สื่อมันออกมาด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์และเข้าถึงอารมณ์แบบสุดๆ อย่าง
So why’d you wanna erase me, darling valentine?
You always know where to find me when you change your mind.
นอกจากนี้แล้ว เพลง Valentine ยังทำให้เราเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นนั่นก็คือเนื้อเสียงที่ทุ้มขึ้น แหบขึ้น และโตขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงการใช้ดนตรีแนว Foggy และ Cinematic Syths ในเพลง เพื่อช่วยสื่ออารมณ์ให้ชัดมากยิ่งกว่าเดิม
ในส่วนของมิวสิกวิดีโอก็ยังมีความดราม่า ระทึกใจ และเข้ากับบทเพลงได้อย่างลงตัว โดยงานกำกับวิดีโอนั้นก็เป็นฝีมือของ Josh Coll ที่ในอัลบั้มนี้เขาก็ได้กำกับเอ็มวีให้ทั้ง Valentine และ Ben Franklin นั่นเอง
“มันดีมากๆ เลยที่ได้ทำงานร่วมกับผู้กำกับมากความสามารถอย่าง Josh Coll การได้เห็นภาพในหัวของฉันกลายเป็นเรื่องราวที่งดงาม จนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในมิวสิควิดีโอ ถือว่าเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีสุดในชีวิตของฉันแล้วล่ะ” ลินซี่ย์เผย เธอยังเสริมอีกว่า “พวกเราเข้ากันได้ดีสุดๆ เพราะเราคิดตรงกันว่า ความน่ากลัวและความสวยงามนั้นคือสิ่งที่สามารถเข้ากันได้อย่างลงตัว ยิ่งไปกว่านั้นเรายังชอบซีรีส์เรื่อง Tim and Eric และชอบน้ำขิงผสมน้ำเหมือนกัน ซึ่งฉันน่ะต้องกินมันเยอะมากๆ ในฉากที่ต้องดื่มเหล้า”
มิวสิควิดีโอเพลงนี้เต็มไปด้วยดราม่าและการนองเลือด ซึ่งลินซี่ย์รับบทเป็นสาวรับใช้ของหญิงชนชั้นสูง และมีความสัมพันธ์ลับๆ เกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่ แต่หลังจากที่เธอเห็นคนรักอยู่กับชายอื่น ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น เป็นทั้งความเศร้า ความผิดหวัง และความบ้าคลั่งปะปนกัน จนท้ายที่สุดเธอก็ฆ่าผู้ชายคนนั้น
ยิ่งในท่อนคอรัส ‘So why’d you want to erase me’ จะเห็นว่าเพลงนี้เป็นการผสมระหว่างดนตรีแบบ Slow jam และสลับไปเป็น Power pop พร้อมกับภาพในเอ็มวีที่เธอร้องไห้พร้อมทั้งตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ลึกๆ แล้วเธอก็ยังมีความหวังว่าคนรักจะไม่ทำแบบนั้น Valentine ยังจบท้ายด้วยการย้ำเตือนผู้ฟังในท่อนเวิร์ส 3 อีกทีว่าทุกสิ่งที่เธอทำเป็นเพราะว่า ‘I adore you’
BEN FRANKLIN
เพลง “Ben Franklin” เป็นเพลงที่ทำให้ลินซี่ย์หลุดออกมาจากคอมฟอร์ตโซนของตัวเองทั้งในการเขียนเนื้อร้อง และงานดนตรีที่แตกต่างจากงานก่อนๆ ของเธอมากจนแทบไม่เหลือภาพจำของ Snail Mail ในวันวาน
เธอพูดถึงเรื่องราวของการไปสถานบำบัด อย่างในท่อนที่ว่า ‘Post rehab, I’ve been feeling so small.’ เธอบอกเองเลยว่าเธอได้เข้าไปบำบัดจริงๆ เมื่อปีที่แล้วในช่วงพฤศจิกายน ที่ Arizona เป็นเวลา 45 วัน เพื่อจัดการกับสถานการณ์บางอย่างและความท้าทายต่างๆ ที่สะสมมานาน เธอพักจากการเป็น Snail Mail ไปช่วงหนึ่ง “ฉันโชคดีนะที่มีคนรอบตัวที่รักฉัน และที่นั่นก็ได้ให้คำตอบกับฉันหลายอย่างเลยล่ะ”
อันที่จริงเธอเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะไม่พูดถึงการบำบัดที่เธอไปเข้าร่วมมา แต่หลังจากนั้น เธอก็ถามตัวเองว่าเธอจะบอกกับทุกคนดีไหม เธอจะอายกับสิ่งนี้รึเปล่า แต่เธอก็ได้ตัดสินใจบอกกับเพื่อนๆ ผ่าน Close friends ในอินสตาแกรมสตอรี่ รวมทั้งให้ที่อยู่สำหรับเขียนจดหมายมาหาด้วย และเธอยังบอกอีกว่า “มีบางโมเมนต์ที่ฉันคิดว่าจะไม่ใส่มันลงไปในอัลบั้ม ฉันก็จะรู้สึกว่า ‘ฉันโคตรอยากจะใส่มันลงไปเลย’ เพราะอย่างน้อยถ้าฉันบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ไป มันอาจจะเป็นกำลังใจให้คนอื่นๆ ก็ได้ ที่จะไม่รู้สึกอายเวลาต้องการความช่วยเหลือหรือเวลาพูดถึงมัน”
และในส่วนของงานมิวสิควิดีโอ ก็ยังได้ร่วมงานกับ Josh Coll เช่นเคย ซึ่งในเอ็มวีตัวนี้เราจะได้เห็นเธอเต้นรำอย่างอิสระ รวมทั้งมีโมเมนต์น่ารักที่สื่อถึงความไร้เดียงสา อย่างเกมส์ Nintendo หรือในช่วงท้ายของเพลงที่เธอเล่นกับลูกสุนัขอย่างน่าเอ็นดู และยังแฝงความตื่นเต้นที่เธอต้องแบกงูเหลือมสีทองขนาดเกือบ 10 ฟุตไว้บนไหล่ของเธอ ถือว่า Ben Franklin เป็นการแสดงถึงศักยภาพใหม่ๆ ของลินซี่ย์ในเกือบทุกด้าน
HEADLOCK
Headlock ถือหนึ่งเป็นก้าวสำคัญของอัลบั้ม Valentine ที่นำเสนอด้านการแต่งเพลงของ Snail Mail ในหลายแง่มุม มีทั้งความชัดเจน ใช้ภาษาที่ตรงไปตรงมา และดนตรีที่สื่อความรู้สึกได้เป็นอย่างดี
Thought I’d see her when I died
Filled the bath up with warm water, Nothing on the other side.
ลินซี่ย์เปิดเผยว่า “อย่างแรกเลย ฉันภูมิใจกับเนื้อเพลงในอัลบั้มนี้มากๆ และ Headlock ก็เป็นเพลงที่ฉันใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะว่าเพลงนี้มันยาวมากและแฝงไปด้วยความหมายต่างๆ ที่ค่อนข้างจะส่วนตัว ก่อนที่จะไปบำบัดฉันอ่านแนวเมโลดราม่าเยอะมากๆ อย่างเรื่อง ‘A Little Life’ เป็นอะไรที่บ้ามากเลย และฉันก็อ่าน The Year of Magial Thinking ของ Joan Didion ซึ่งมีบทกวีของ E. E. Cummings ในนั้นด้วย ฉันได้แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้จากบทกวีของเขา”
เธอได้เล่าย้อนไปถึงการกลับมาทำเพลงต่อช่วงที่กำลังบำบัด ที่นั่นเขาอนุญาตให้เธออ่านแค่หนังสือ อย่างหนังสือที่เกี่ยวกับสุขภาพจิต พอเป็นอย่างนั้นเธอก็เลยอ่านหนังสือไปทั้งหมด 17 เล่ม ถึงจะมีแค่ไม่กี่เล่มเท่านั้นที่รู้สึกอยากอ่านมันจริงๆ ลินซี่ย์จึงได้แรงบันดาลใจมาจากนักเขียนหลายท่านทั้ง Ocean Voung และ George Saunders และคนที่สำคัญที่สุดก็คงเป็น Raymond Carver
เธอได้อธิบายเกี่ยวกับการอ่านเพิ่มว่า “มันเหมือนกับฉันเสพความรู้สึกที่เกิดขึ้นในแต่ละหน้าที่อ่าน เพราะมันมีน้ำเสียงหรือท่วงทำนองบางอย่างแฝงอยู่ในนั้น และฉันมองว่าการอ่านเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเรา เมื่อฉันเจออะไรแบบนี้ในบทกวี หนังสือ หรือภาพยนตร์ ฉันอยากจะเก็บและจดจำมันไว้ เพราะฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันได้อ่านหรือได้ฟัง ทั้งหมดนี้จะทำให้ฉันเป็นศิลปินที่ดีขึ้นกว่าเดิม”
LIGHT BLUE
แม้ว่า Valentine จะเป็นเหมือนอัลบั้มแห่งการบอกลา แต่ก็ไม่ได้หมายถึงผู้หญิงคนใดคนหนึ่งหรือการอกหักเท่านั้น อย่างเพลง Light Blue เป็นเพลงที่เธอเขียนเป็นเพลงแรกในอัลบั้มนี้ (ตอนที่เธออายุ 19 ปี) Snail Mail เผยว่า “เพลงนี้เป็นเพลงรักถึงผู้หญิงคนนึงที่ฉันเดทตอนอายุ 19 ถึงความสัมพันธ์นี้เป็นแค่ความสัมพันธ์ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ก็อยู่ในใจฉันมาตลอด การมีเพลงแบบนี้รวมอยู่ด้วยทำให้อัลบั้ม Valentine ลงตัวมากยิ่งขึ้น”
The first time, I met you I knew then
That, afterwards, there’d be no in between
อันที่จริงเพลงนี้เกือบจะไม่ได้รวมอยู่ในอัลบั้มนี้ แต่ท้ายที่สุดเธอก็จัดตาราง หาเวลาทำมันจนได้ จนถึงตอนถูกปล่อยออกมา เพลงนี้อิมแพคและมีความหมายมากๆ กับ LGBTQ+ คอมมูนิตี้ และยังมีประโยชน์กับคนรุ่นใหม่ที่กำลังค้นหาตัวเอง
ในอัลบั้มนี้ Snail Mail ใช้เครื่องดนตรีที่หลากหลายขึ้น แต่เธอบอกว่าไม่ได้ต้องการใช้มันเยอะขนาดนั้น เพราะว่าจริงๆ แล้วเธอชอบดนตรีที่มันไม่สลับซับซ้อนแต่มีเอกลักษณ์ และมองว่าข้อผิดพลาดที่คนมักจะทำก็คือ พอมีงบมากขึ้นก็อยากโยนทุกสิ่งที่มีเข้าไป เพราะว่ามันสนุกที่ได้เล่นกับเครื่องดนตรีที่หลากหลาย กลับกันเธอมักจะมานั่งดูว่าเพลงมันสมบูรณ์หรือยัง แล้วสามารถเพิ่มอะไรลงไปได้มั้ย เพราะอยากให้ผู้ฟังรับรู้ว่าเธอตั้งใจใส่มันลงไปในขณะที่ฟัง
Snail Mail เสริมว่า “เพลงนี้มี Kaitlin Grady นักเชลโลที่เป็นเพื่อนกับแบรดมาร่วมทำด้วย เธอเล่นได้ดีสุดๆ พวกเราฟังและเรียบเรียงมันด้วยกัน ทำให้เพลงยิ่งเข้าถึงอารมณ์และทรงพลังมากขึ้นไปอีก และฉันก็ชอบที่เพลงนี้ยังมีเสียงแนวอิเล็กทรอนิกส์อยู่”
FOREVER (SAILING)
เพลง You and I ของ Madleen Kane เป็นเพลงที่ Snail Mail ตัดสินใจนำมาทำใหม่เป็นเพลง Forever (Sailing) เธอเปิดเผยว่า “ฉันได้ยินเพลงครั้งแรกที่ร้านกาแฟที่หนึ่งในช่วงที่พวกเรากำลังทัวร์คอนเสิร์ต และฉันถามบาริสต้าว่านี่คือเพลงอะไร เพราะฉันคิดว่าเป็นเพลงที่แปลกมากและเสียงของมันติดอยู่ในหัวฉัน เพลงนี้เป็นเพลงที่พิเศษมากๆ หลังจากที่ทำอัลบั้มนี้มาหลายเดือนฉันก็ยังรู้สึกชอบเพลงนี้อยู่ ฉันรู้สึกทุกครั้งเลยที่ฟังเพลงว่าฉันต้องการมีเพลงแบบนี้ในอัลบั้ม ฉันไม่เคยมีความคิดแบบนี้มาก่อน ประมาณว่าถ้าเราไม่คัฟเวอร์เพลงนี้ เราก็ควรจะทำอะไรสักอย่างกับมัน”
สำหรับเธอมันยากมากๆ ที่จะทำเพลงขึ้นมาจากแค่ Sample เดียว ลินซี่ย์เล่าว่า “คงเป็นเพราะว่าฉันไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน มันก็แปลกๆ ที่ทำนะ เพราะมันเป็นแค่ Sample สั้นๆ ตอนที่เราแยกมันออกมาเสียงมันเลยอย่างกับเสียงแอร์ พวกเราเลยต้องย้อนฟังกันอยู่หลายรอบ และฉันใช้เวลานานมากๆ ในการฟังมันพร้อมกับแกะคอร์ดเองในห้องพักแขกของแบรด แต่เพราะไม่มีเวลาเหลือที่จะทำในสตูดิโอแล้ว สุดท้ายฉันก็ต้องทำเกือบจะทุกอย่างให้เสร็จหลังจากนั้นแทน ทั้งส่วนของเนื้อเพลง พาร์ทของ Lead Guitar อัดแทรคซ้ำ และร้องเสียงประสาน ฉันทำทุกอย่างนี้ที่อพาร์ทเม้นท์ที่ย่านอีสท์วิลเลจ”
MADONNA
สำหรับเพลง Madonna เป็นเพลงที่ลินซี่ย์ถ่ายทอดออกมาได้อย่างละเมียดละไม เธอปรับแก้จนแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างมันออกดีที่สุด นั่นคงเป็นเพราะเธอชอบความสมบูรณ์แบบ และถ้ามันไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่คิด มันก็คงจะมีอารมณ์แบบอยากทึ้งหัวตัวเองแน่ๆ Snail Mail ย้ำว่า “ในอัลบั้มนี้มันสำคัญสำหรับฉันจริงๆ ที่บางท่อนต้องอยู่ในที่ของมันเท่านั้น และท่อนไหนที่ร้องซ้ำ มันก็เป็นสิ่งที่เธอตั้งใจให้เป็นแบบนั้น เช่นในเพลง Automate ตรงที่ฉันร้องว่า ‘I’m like your dog’ สองรอบ”
ส่วนเสียงร้องก็เป็นความตั้งใจของเธอเช่นกัน ในบางจุดก็จะร้องด้วยเสียงที่นุ่มนวลแต่บาดลึกถึงอารมณ์ บางครั้งร้องด้วยเสียงพุ่ง ไม่ก็เสียงที่แหบ เพื่อจะสื่ออารมณ์ที่แตกต่างกันไป Madonna จึงเหมือนกับการแสดงละครเรื่องหนึ่ง
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ Snail Mail พูดถึงความเชื่อทางศาสนาในเพลงนี้ด้วย เป็นเพราะว่าครอบครัวของเธอเป็นคาทอลิกแต่อาจไม่ได้เคร่งมากขนาดนั้น เธอเล่าว่า “ส่วนมากพวกเราไปโบสถ์กันทุกวันอาทิตย์ พ่อแม่คงต้องการจะปลูกฝังคำสอนต่างๆ ให้กับฉันนั่นล่ะ ฉันก็ซาบซึ้งกับการได้เรียนรู้มันนะ ถึงจะมีความซับซ้อนหลายอย่างเกิดขึ้น” ตอนนั้นเธอมีอาการของโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ทำให้เธอเกิดความรู้สึกผิดและกลัวการทำผิด เลยทำให้เธอสารภาพบาปเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ
ลินซี่ย์อธิบายต่อว่า “เพลงนี้เกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับคนคนนึงมากๆ และเทิดทูนเขา แต่มันไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์นั้นเวิร์ก บางครั้งฉันก็กลัวว่าเพลงนี้จะดูเหมือนล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉันกลัวมากๆ เลย เพราะฉันเป็นชาวคาทอลิก ขนาดในครอบครัวพวกเราจะไม่อุทานเลยว่า Jesus Christ พวกเราไม่ทำอะไรแบบนั้น ฉันกลัวว่าแม่จะเรียกฉันด้วยความไม่พอใจ (LINDSEY ERIN JORDAN!) แต่ใดๆ แล้วตัวฉันเองก็ไม่ได้อยากให้คนมองว่าเป็นการเมคฟันศาสนา”
c. et al.
c. et al. เป็นเพลงที่ลินซี่ย์ต้องการสื่ออารมณ์ทั้งละมุนและทรงพลังในเวลาเดียวกัน เธอบอกเอาไว้ว่า “ส่วนหนึ่งฉันก็คิดว่ามันเกิดขึ้นเองมากกว่า เพราะฉันใช้เสียงแบบนี้ร้องมานานแล้ว และรู้ว่าจะร้องออกมาแบบไหน ทำให้เพลงนี้มันละมุนและทรงพลังไปอีกแบบเลย พอมาคิดอีกที ฉันคิดว่าฉันร้องออกมาจากสัญชาตญาณนะ (เหมือนในอัลบั้ม Lush)”
สำหรับเพลง c. et al. ยังคงคาแร็กเตอร์ที่ทำให้ตอนฟังเพลงนี้เหมือนกับเรากำลังชมละครเรื่องหนึ่ง หลายจุดที่เธอตั้งใจร้องแบบสบายๆ และหนักแน่นสลับๆ กัน แต่หลายครั้งเหมือนกันที่มันเป็นไปเอง Snail Mail ยังบอกอีกว่า “จะพูดก็ได้ว่า Ben Franklin เหมือนกับวันเสาร์ตอนดึก และ c. et al. เหมือนกับเช้าวันอาทิตย์ ความรู้สึกเหมือนตอนที่คุณเป็นเด็กแล้วมองดูวันหยุดสุดสัปดาห์ผ่านไปและว่าจะถึงวันจันทร์แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ฉันคิดนะ และถ้าได้ฟังก็น่าจะรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”
นอกจากนี้แล้ว เพลง c. et al. ก็ยังเป็นอีกเพลงที่ลินซี่ย์รู้สึกผูกพันกับมันมาก ตอนอัดเพลงเธอไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับบัลลาดเพลงไหนเลยนอกเหนือจาก Mia เธอรู้สึกภูมิใจมากๆ กับเสียงกีตาร์ในช่วงท้าย ก่อนหน้าที่เธอบอกว่ามันยากที่จะทำเพลงในช่วงที่ทัวร์คอนเสิร์ต แต่เพลงนี้เป็นเพลงเดียวที่ทำตอนที่อยู่บนรถตู้ตอนอยู่กับเพื่อนในวง ตอนแรกเธอคิดท่อนเวิร์สได้หลายท่อน แต่ตัดออกเหลือเพียง 3 เวิร์สเท่านั้น เพราะเธอรู้สึกว่ามันกระชับและกำลังพอดีกับเพลง
GLORY
Glory เป็นแทร็กที่ Snail Mail เขียนมันจากความเจ็บปวด เป็นความโกรธรูปแบบนึงที่บ้าคลั่งและเศร้าปนๆ กัน เธอเล่าว่าเขียนเพลงนี้เสร็จไวมากๆ ทำปุ๊บเสร็จปั๊บอะไรแบบนั้น สิ่งที่น่าสนใจก็คือเพลงนี้เป็นเพลงเดียวที่เธอใส่ดนตรีแนว breakbeat เข้าไป เพราะว่าเธอชอบดนตรีแนวนี้มากๆ
หากฟังเพลงนี้แล้ว คุณนึกถึง Courtney Love จากวง Hole เพราะว่ามีช่วงที่ลินซี่ย์ชอบ Kurt Cobain มากๆ (สมาชิกวงดนตรีแนวกรันจ์ Nirvana และเป็นสามีของเลิฟ) เธอจึงคิดว่าเพลงนี้ควรจะต้องใส่เสียงเชลโลแบบกรันจ์เข้าไป เหมือนกับในเพลง Something In The Way เวอร์ชั่น MTV Unplugged ที่พวกเขาใช้มันเป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงนี้
You owe me
You own me
Snail Mail เล่าว่า “ฉันพยายามจะสร้างความแปลกใหม่ ฉันไม่แน่ใจว่าผู้ฟังจะสังเกตหรือเปล่าว่าฉันเปลี่ยนคำถ้าพวกเขาไม่ได้ดูเนื้อร้อง เพลงนี้จะคล้ายกันกับ Madonna ตรงที่เปรียบคนคนนึงเหมือนพระเจ้าที่เธอยอมและเทิดทูนเขามาโดยตลอด แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือการสื่อถึงความโกรธประมาณว่า ‘ปล่อยให้ฉันได้ตัดสินใจบ้างเถอะ ฉันต้องการมัน ให้สักอย่างกับฉันสำหรับความเจ็บปวดทั้งหมดที่เกิดขึ้น (เพราะเธอเป็นฝ่ายยอมมาตลอดในความสัมพันธ์นี้)’ แต่ในขณะเดียวกัน ‘ฉันเป็นของคุณตลอดไป ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อคนคนนี้’” สำหรับเธอสองท่อนนี้ฟังแล้วดูมีพลังมากๆ ที่คุณสามารถรู้สึกทั้งทั้งรักทั้งโกรธในเวลาเดียวกัน
AUTOMATE
Snail mail บอกเลยว่า Automate เป็นเพลงโปรดของเธอในอัลบั้มนี้ “มันเริ่มจากที่ปาร์ตี้หนึ่ง ฉันบังเอิญเจอนิกจากวง The Obsessives ฉันและเพื่อนในวงคุยกับเขาเกี่ยวกับการแต่งเพลงเยอะมาก และคืนนั้นพวกเราก็ทำเพลงด้วยกันที่ห้องใต้ดิน ฉันกับนิกนั่งอยู่ข้างกันและฉันก็คิดเมโลดี้ออก เราเลยลองเล่นมันด้วยกีตาร์ หลังจากคืนนั้นฉันก็อัด voice memo ทุกๆ อย่างจนเสร็จ ฉันรู้สึกว่า ‘ไม่น่าเชื่อที่ฉันทำอะไรวิเศษแบบนี้ได้’ และหลายเดือนต่อมาฉันก็อยู่แต่ในห้องที่หน้าคอมพิวเตอร์กับเครื่อง MIDI analog synth และกีตาร์ เพราะฉันต้องการได้เนื้อเพลงที่มันใช่จริงๆ”
เวลาผ่านมาจนถึงช่วงก่อนที่จะเรคคอร์ดประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์ ลินซี่ย์ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะใส่ท่อนคอรัสอันไหนลงไป เธอบอกว่าค่อนข้างลำบากใจ เพราะว่าในสมุดโน้ตของเธอเต็มไปด้วยเนื้อเพลงที่เขียนเอาไว้หลายแบบ แต่บางอันดูเข้ากว่าอันอื่นในแบบที่อาจจะคาดไม่ถึง
Automate me
And I’ll never find a love like this
I’m free
But I’m not having any fun like this
Wash, rinse, repeat…
อาจจะดูไม่คุ้นตา Snail Mail เผยว่านี่คือดราฟแรกของ Automate เธอยังบอกอีกว่า มันยากมากที่จะเขียนให้มันสัมผัสกันและดูโดดเด่นในเวลาเดียวกัน และสิ่งที่ยากไม่แพ้กัน คือการเลือกเนื้อเพลงที่เหมาะที่สุดจากร้อยๆ อันที่เธอแต่ง
นอกจากที่เพลงนี้จะเป็นเพลงโปรดของเธอ เธอยังบอกด้วยว่า “ช่วงท้ายเพลงเป็นส่วนฉันที่ชอบที่สุด และฉันคิดออกเร็วกว่าส่วนอื่นๆ ในเพลง ฉันรู้สึกว่า ‘โอเค นี่คงเป็นส่วนที่ฉันชอบที่สุดที่เคยเขียนมาแล้ว’ แต่มันก็ทำให้ฉันเศร้ามากทุกครั้ง ทำให้ฉันร้องไห้ และฉันฟังมันเป็นล้านๆ ครั้งแล้ว”
MIA
Mia เป็นแทร็กสุดท้ายที่ประกอบหลายอารมณ์ในเพลงเดียว อ้อนวอน ต่อรอง ทุกข์ทรมาน และสุดท้ายการยอมรับความจริง
‘Gotta grow up now, no I can’t keep holding on to you anymore’
ท่อนนี้มาพร้อมกับเสียงเครื่องสายที่ค่อยๆ ดังขึ้นให้ความรู้สึกเหมือนกับแสงสว่างหลังพายุที่โหมกระหน่ำ อย่างที่เรารู้กันว่าลินซี่ย์ค่อนข้างจะดำดิ่งไปกับความรู้สึกของตัวเอง มันทำให้เธอรู้สึกทนไม่ไหว แต่ตอนจบของอัลบั้ม Valentine ทำให้พวกเราเห็นว่าเธอสามารถผ่านความเจ็บปวดเหล่านี้มาได้
เมื่อพูดถึงเพลง Mia ลินซี่ย์ก็บอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่ทุกท่อนทำให้เธอรู้สึกเศร้า “อันที่จริงก็ทุกเพลงเลยนะ ในอัลบั้มนี้ที่ทุกท่อนมีความหมายกับฉัน แต่ว่าเพลงนี้มันเหมือนกับเข้าไปถึงจิตวิญญาณ มันสุดยอดมากๆ ที่เพลงสื่อความรู้สึกได้แบบนั้น ฉันคิดว่าเพลงนี้เป็นตัวอย่างนึงของการยอมรับความจริง ซึ่งมันเศร้าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย และฉันไม่ได้อยากจะสื่อว่า ‘ฉันโอเคกับการที่ Mia มีคนอื่น’ แต่จะสื่อว่า ‘เรื่องทั้งหมดมันเป็นแบบนี้’ รวมถึง the stage of grief ก็ถูกสื่อในเพลงนี้ด้วย เพลงนี้มันเหมือนกับละครเรื่องหนึ่ง และฉันก็ชอบในการที่มันจบแบบนั้น (I wish that I could lay down next to you) และอีกหนึ่งสิ่งฉันมักให้ความสำคัญ ก็คือตอนเริ่มและตอนจบของเพลง เช่นตอนจบเพลง Automate และเริ่มเพลง Mia มันคือโมเมนต์ที่พิเศษสำหรับฉันเลย เป็นเหมือนกับการสื่อว่า ‘…well, just you wait’”
สำหรับลินซี่ย์ เพลงนี้จะเล่าเหตุการณ์ที่คุณบอกลากับใครสักคน เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า คุณเหมือนกับลืมไปช่วงขณะ และตอนที่คุณนึกออกคุณก็จะรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพลงนี้จึงเป็นการสื่อถึงความรู้สึกแย่ๆ หลังจากการเลิกกับใครสักคน มันอาจจะไม่น่าพอใจสักเท่าไหร่ที่จบอัลบั้มลงแบบนี้ เหมือนกับการบอกลาประมาณว่า ‘เอาล่ะ ไว้เจอกันใหม่นะ’ ซึ่งเหมือนกันกับแทร็กสุดท้ายของอัลบั้ม Lush
Mia, don’t cry, I’ll love you forever.
But I’ve gotta grow up now
ถึงจะความคล้ายกัน แต่แทร็กสุดท้ายอย่าง Anytime สื่อถึงความอาลัยอาวรณ์มากกว่า (I’ll love you forever and I’m always here for you.) Snail Mail เล่าว่า “เมื่อเทียบกันแล้ว Mia เหมือนกับการบอกลาที่มันจบไปแล้วจริงๆ และนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะบอกว่ารักคุณ มันเป็นการยอมรับความจริงและไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน แบบนี้มันโคตรแย่เลยสำหรับฉันน่ะนะ”
พอเราฟังมาจนถึงแทร็กสุดท้ายก็จะเห็นว่าอัลบั้มนี้ยาวเพียง 30 นาทีเท่านั้น Snail Mail เล่าว่า “จริงๆ มันเกือบจะไม่ถึง 30 นาทีตามที่มันควรจะเป็นด้วยซ้ำ ฉันก็กังวลกับเรื่องนี้นิดหน่อย แต่จริงๆ ความตั้งใจของฉันก็ไม่อยากให้มันยาวมากอยู่แล้ว ฉันมองว่าการใส่ทุกสิ่งทุกอย่างลงไปในอัลบั้มมันไม่ดีแน่ๆ อย่างการพยายามเพิ่มความยาวเพลง หรือการเพิ่มเพลงเร็วเข้าไปแค่เพราะว่ามีเพลงช้าหลายเพลงแล้ว ฉันคงจะไม่ทำมัน และโชคดีที่ว่า Forever เป็นเพลงสุดท้ายที่ฉันเขียนและเป็นเพลงที่ยาวที่สุดพอดี ซึ่งฉันก็ไม่ได้โฟกัสกับเวลามากเท่าไหร่หรอก เพราะฉันไม่ได้ต้องการท่อนเวิร์สที่ใส่มางั้นๆ กลับกันฉันต้องการให้มันสั้นแต่กินใจ เอาเป็นว่าใน 30 นาทีนั้นฉันได้พูดทุกสิ่งที่ฉันต้องการไปหมดแล้ว”
รับฟังอัลบั้ม Valentine ได้ที่นี่
Sources:
- Love-da Records
- https://pitchfork.com/features/interview/snail-mail-valentine-interview/
- https://thefortyfive.com/interviews/snail-mail-interview-valentine-2021/
- https://www.nytimes.com/2021/11/05/arts/music/snail-mail-valentine-review.html
- https://www.stereogum.com/2164094/snail-mail-valentine-track-by-track/interviews/footnotes-interview/
- https://www.thecut.com/2021/11/a-wet-afternoon-with-singer-snail-mail.html