เมื่ออสุรกายแห่งห้วงอวกาศกลับมาสร้างความหวาดกลัวอีกครั้งใน Alien: Romulus ภาพยนตร์ภาคแยกจากแฟรนไชส์สยองขวัญแนววิทยาศาสตร์สุดคลาสสิคอย่าง เอเลี่ยน (Alien) ซึ่งเข้าฉายครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 1979 และเป็นหนึ่งในผลงานอันเลื่องชื่อของผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อต (Ridley Scott)
ก่อนเปิดฉากการไล่ล่าครั้งใหม่ อยากชวนมาทำความรู้จักกับประเด็นเรื่องเพศ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่แฝงไว้อยู่ในต้นฉบับความสยอง
ภาพยนตร์เรื่องนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในจอเงินของตัวละครหญิงที่ไม่ได้มีหน้าที่เป็นเพียงแค่ผู้ช่วยหรือคู่รักของตัวละครชาย บทบาทของ เอลเลน ริปลี่ย์ (Ellen Ripley) ตัวละครเอกหญิงสุดแกร่ง รับบทโดย ซีกอร์นีย์ วีเวอร์ (Sigourney Weaver) กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงจวบจนถึงปัจจุบัน
ริปลี่ย์ ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 8 จาก 50 ตัวละครฝ่ายดีในภาพยนตร์ที่เป็นที่จดจำมากที่สุดและเป็นตัวละครหญิงที่อยู่ในอันดับสูงที่สุดในการจัดอันดับ AFI’s 100 Years…100 Heroes & Villains จัดทำโดยสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน (American Film Institute หรือ AFI) เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของสถาบันแห่งนี้ในเดือนมิถุนายน 2003
ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์ประหลาดที่รู้จักกันว่าเอเลี่ยน หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ซีโนมอร์ฟ (Xenomorph) ก็ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 14 จากฝั่งตัวละครฝ่ายร้ายเช่นกัน
Warning:
บทความนี้ดัดแปลงมาจากบทความในวิชา SE418 GENDER AND SEXUALITY
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของผู้เขียน และมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน
เพื่ออรรถรสในการรับชมภาพยนตร์ ผู้อ่านควรพิจารณา
อีกทั้งมีการกล่าวถึงเลือด การให้กำเนิดและความรุนแรงทางเพศ
เอเลี่ยนกับความเป็นหญิงแสนชั่วร้าย (Monstrous-Feminine)
ความเป็นหญิงแสนชั่วร้าย (Monstrous-Feminine) เป็นทฤษฏีที่คิดขึ้นโดย บาร์บาร่า ครีด (Barbara Creed) ศาสตราจารย์สาขาวิชาภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น เพื่อใช้อธิบายถึงความคิดของเพศชาย โดยเฉพาะความกลัวต่อเพศหญิงที่สื่อออกมาผ่านภาพยนตร์สยองขวัญ (หนังสือ The Monstrous-Feminine: Film, Feminism, Psychoanalysis) ซึ่งมองว่าผู้หญิง คือ ความเป็นอื่น (The Other) ในรูปของสัตว์ประหลาดจากต่างดาว แม่มด ผีดูดเลือด ตัวกลางของโลกวิญญาณ หรือพาหะที่รอให้ปีศาจร้ายมายึดครองและสิงสู่ร่างกายตนเอง เนื่องจากเพศหญิงเป็นเพศที่อิงกับธรรมชาติสูง ไม่ว่าจะเป็นการมีประจำเดือนตามวงรอบของธรรมชาติหรือการตั้งครรภ์ ซึ่งแต่เดิมธรรมชาติตามความเชื่อของมนุษย์จะเกี่ยวข้องกับอำนาจลึกลับที่มองไม่เห็น ทำให้เพศหญิงกลายเป็นสิ่งลี้ลับที่ผู้ชายไม่สามารถเข้าถึง
เมื่อผู้หญิงถูกเหมารวมไปอยู่กับสิ่งเหนือธรรมชาติและมาเจอกับการประกอบสร้างทางสังคมชายเป็นใหญ่ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเพศหญิงจึงเป็นสิ่งน่ากลัวไปโดยปริยาย ดังความเชื่อที่ว่าไม่ควรลอดใต้ผ้าถุงของผู้หญิง รวมทั้งความเชื่อเรื่องเลือดประจำเดือน
ด้วยความลึกลับของเพศหญิงนี่เองทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอความกลัวของผู้ชายออกมาผ่านฉากการเกิด (Primal Scene) จำนวน 3 ครั้ง แสดงถึงการให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันออกไป
การเกิดครั้งแรก คือ ฉากแรกของภาพยนตร์ที่ลูกเรือบนยานสินค้าชื่อนอสโตรโม (Nostromo) ตื่นขึ้นมาจากแคปซูลจำศีล (Hypersleep Pod) ด้วยการปลุกของคอมพิวเตอร์ประจำยาน ชื่อว่า MU-TH-UR6000 ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า Mother ที่แปลว่า แม่ ประหนึ่งเป็นการจำลองการเกิดในอุดมคติของมนุษย์ในอนาคตด้วยเทคโนโลยี ไร้ซึ่งความเจ็บปวดและกลิ่นคาวเลือด ผิดจากการให้กำเนิดของเพศหญิงโดยปกติ ยิ่งไปกว่านั้นมนุษย์ที่เกิดใหม่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะทำหน้าที่ของตัวเองได้และไม่มีวัยเด็กที่พ่อแม่ต้องคอยอบรมเลี้ยงดูให้วุ่นวาย
ฉากจำลองการเกิดต่อมาเป็นฉากที่ลูกเรือลงสำรวจซากยานปริศนาบนดาว LV-426 หลังจากได้รับสัญญาณลึกลับ จะสังเกตได้ว่ายานดังกล่าวมีลักษณะมืด ชื้นแฉะและเต็มไปด้วยไข่ปริศนาวางเรียงรายกันอยู่มากมาย แสดงให้เห็นว่าลูกเรือไม่ได้เพียงแต่สำรวจยานอวกาศธรรมดาๆ หากแต่เป็นการเข้าไปสำรวจยังแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตนอกโลก รวมทั้งได้ให้กำเนิดชีวิตหนึ่งขึ้น เมื่อกิลเบิร์ท เคน (Gilbert Kane) ถูกสิ่งมีชีวิตที่ฟักออกมาจากไข่โจมตีเข้าที่ใบหน้าก่อนที่จะสลบไป
กระทั่งถึงการให้กำเนิดครั้งสุดท้าย อันเป็นฉากโหดในตำนานของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ทำเอาหลายคนต้องปิดตา ได้แก่ ฉากการตายของเคน หลังจากที่สัตว์ประหลาดได้ปลดปล่อยพันธนาการออกจากใบหน้าของเขา เคนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติอีกครั้ง แค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนความสยองขวัญบนโต๊ะอาหารจะเกิดขึ้น ตัวอ่อนของอสุรกายก็ได้ทำการแหวกช่องอกของเคนออกมาสู่โลกภายนอก
เลือดแดงฉานที่สาดกระจาย ความสับสนอลหม่านของลูกเรือ และเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแสดงให้เห็นถึงความกลัวของผู้ชายที่มีต่อความสยดสยองของการให้กำเนิดมนุษย์โดยทั่วไป นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ผู้ชายจินตนาการถึงการเกิดที่เรียบง่ายสงบและปลอดภัยเหมือนเช่นการเกิดจากแคปซูลจำศีลในฉากแรก
เบื้องหลังการออกแบบสิ่งมีชีวิตสุดอันตรายของห้วงจักรวาลมีการผสมผสานความน่าเกรงขามตามแบบฉบับของสัตว์ประหลาดจักรกลชีวะ (Biomechanics) และเรื่องเพศเข้าด้วยกัน โดยฮานส์ รูดอล์ฟ กีเกอร์ (Hans Ruedi Giger) หรือที่รู้จักกันในนาม เฮช อาร์ กีเกอร์ (H.R. Giger) ศิลปินชาวสวิสเซอร์แลนด์ผู้ล่วงลับ

เริ่มจาก เฟซฮักเกอร์ (Facehugger) การเจริญเติบโตขั้นที่ 2 หลังจากการออกมาจากไข่ ซึ่งเป็นตัวเดียวกันกับที่โจมตีเคน มันจะทำการกระโดดเกาะใบหน้าเหยื่อ ใช้หางบีบรัดหลอดลมจนขาดอากาศหายใจจนสลบไป จากนั้นจึงเริ่มสอดท่อปล่อยน้ำเชื้อลงไปผ่านช่องปากเพื่อให้ตัวอ่อนลงไปฝังในทรวงอกของผู้เคราะห์ร้าย
ลักษณะของเฟซฮักเกอร์จำลองมาจากอวัยวะเพศหญิง และการสอดท่อลงไปในปากเพื่อปล่อยน้ำเชื้อคือการมีเพศสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีการปล่อยน้ำเชื้ออสุจิเข้าไป ดังที่ รีเบคคก้า เบล-มีเทอร์ริว (Rebecca Bell-Metereau) ได้บรรยายเอาไว้ว่า “ฉากนี้ไม่สามารถเป็นอะไรไปได้เลยนอกจากภาพของความกลัวในหนังสือของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ที่ได้พูดถึง อวัยวะเพศหญิงที่มีฟันขบเคี้ยว (Toothed Vagina) และได้ทำการบุกรุกเครื่องเพศชายอย่างตะกรุมตะกราม จนทำให้ผู้ชายกลายเป็นคนไร้สมรรถภาพ” (“This scene couldn’t be a more direct symbolic pictoralization of Freud’s textbook phobia: the vagina with teeth clutches and eats alive the intrusive phallus, rendering it impotent, castrated.” จากหนังสือ Woman: The Other Alien in Alien)
เมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตมาในขั้นที่ 3 จะเปลี่ยนแปลงเป็น เชสเบิร์สเตอร์ (Chestburster) ที่ได้รับสารอาหารจากร่างของเหยื่อมาหล่อเลี้ยงประหนึ่งทารกที่ได้รับอาหารจากแม่ผ่านสายรก เมื่อมันสามารถออกมาสู่โลกภายนอกได้แล้ว สัตว์ประหลาดตัวนี้ก็จะค่อยๆ ลอกคราบทีละชั้นและเติบโตเป็นซีโนมอร์ฟตัวเต็มวัยที่เราเห็นในภาพยนตร์
สุดท้าย ซีโนมอร์ฟ มีต้นแบบมาจากทั้งเพศชายและเพศหญิง โดยลักษณะของหัวที่เป็นท่อนเรียวยาวคล้ายกับอวัยวะเพศชาย และรูปร่างที่มีส่วนเว้าโค้งเรียวระหงเหมือนผู้หญิง อีกทั้งสัญลักษณ์ของอวัยวะเพศชายยังกลายมาเป็นอาวุธสังหารชิ้นสำคัญของอสุรกายตัวนี้ ได้แก่ ลิ้นเจาะ (Inner Pharyngeal Jaw) อวัยวะที่สามารถยืดหรือหดตัวได้ และส่วนปลายของลิ้นเจาะยังมีลักษณะเป็นเขี้ยวเล็กๆ ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง
โดย นางพญา (Xenomorph Queen) มีลักษณะเหมือนกับสัตว์ประหลาดตัวอื่นทุกประการ เพียงแต่จะมีขนาดตัวใหญ่กว่าและสามารถวางไข่ได้ การที่นางพญาสามารถวางไข่เพื่อให้กำเนิดชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเพศตรงข้ามเพื่อผสมพันธุ์ หรือมีสัญลักษณ์ของเครื่องเพศชายอยู่ในตัวเอง หมายความถึงสภาวะไร้สมรรถภาพของเพศชาย (หนังสือ The Monstrous-Feminine: Film, Feminism, Psychoanalysis โดย Barbara Creed) โดยสามารถตีความได้ว่าผู้หญิงที่มีลักษณะดังกล่าวเป็นผู้หญิงที่ชั่วร้าย ไม่ได้อยู่ในขนบของสังคมที่ประกอบสร้างภายใต้แนวคิดชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงที่ดีจะต้องสำรวมและไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของกามารมณ์อย่างเปิดเผย
เช่นเดียวกับเมดูซา (Medusa) หญิงสาวที่มีผมเป็นงูในเทพปกรณัมกรีก ลักษณะเรียวยาวของลำตัวงูเปรียบได้กับการมีสัญลักษณ์ของอวัยวะเพศชายอยู่ในตัวเช่นกัน ทั้งนางพญาและเมดูซาต่างไม่ใช่คนปกติ แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่หิวกระหาย จึงต้องถูกกำจัด ดังที่ซีโนมอร์ฟถูกจัดการโดยริปลี่ย์ และเมดูซาที่ถูกเพอร์ซิอัส (Perseus) บุตรชายของเทพซุสสังหาร
ทั้ง ลิ้นเจาะของเอเลี่ยน ท่อสอดน้ำเชื้อของเฟซฮักเกอร์ และหัวรูปทรงคล้ายอวัยวะเพศชายของเชสเบิร์สเตอร์ ต่างมีจุดร่วมเดียวกัน คือ เป็นอาวุธที่มีรูปร่างเหมือนอวัยวะเพศชาย (Phallic Weapon) ที่พร้อมทิ่มแทงเพื่อสังหารเหยื่อ ถือเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่าฝ่ายใดก็ตามที่ถือครองอวัยวะเพศชายหรือสัญลักษณ์ของความเป็นชายจะเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่า ในที่นี้ก็คือซีโนมอร์ฟที่เป็นผู้คุมชะตากรรมของลูกเรือทั้งหมดเอาไว้

ปิตาธิปไตยที่เป็นภัยกว่าอสุรกายอวกาศ
เมื่อภาพยนตร์เริ่มฉายจะเห็นได้ว่าริปลี่ย์เป็นเพียงแค่ลูกเรือหญิงธรรมดาในบรรดาลูกเรือที่แทบจะเป็นเพศชายทั้งหมด แต่ในท้ายที่สุดเธอกลับเป็นถึงหญิงสาวผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย (Final Girl) ทว่าสิ่งที่เธอต้องเผชิญไม่ได้มีแค่การต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดจากซีโนมอร์ฟ แต่เป็นการอยู่ภายใต้อำนาจที่เพศชายเป็นใหญ่ในสังคมบนยานนอสโตรโมด้วยเช่นกัน
คำว่า Final Girl หรือหญิงสาวผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย คิดค้นโดย แครอล เจโคลเวอร์ (Carol J. Clover) ผู้เขียนหนังสือในตำนานของภาพยนตร์แนวไล่เชือด Men, Women, and Chainsaws: Gender in the Modern Horror Film ในปี 1992 หมายถึง ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในบรรทัดฐานของสังคมซึ่งต้องดำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ (Virginity) ของตัวเอง นั่นจะทำให้พวกเธอจะไม่โดนลงโทษด้วยการถูกสังหาร
โดยปัจจัยหลักๆ ของการเป็นหญิงสาวผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายในภาพยนตร์ไล่เชือดประกอบไปด้วย (อ้างอิงจากหนังสือ The Final Girl versus Wes Craven’s A Nightmare on Elm Street: Proposing a Stronger Model of Feminism in Slasher Horror Cinema โดย Kyle Christensen)
- ฆาตกรที่โอบอุ้มความเป็นชายเอาไว้ (Masculine Killer)
- สถานที่เกิดเหตุ (Terrible Place) มักเป็นสถานที่ปิดตายที่มีพื้นที่จำกัด
- อาวุธที่มีรูปร่างเหมือนอวัยวะเพศชาย (Phallic Weapon)
- หญิงสาวผู้รอดชีวิต (Final Girl) ที่ดำรงตนอยู่ในกฎระเบียบอันดีงามของสังคม มีความระแวดระวังตัวจนเกือบถึงขึ้นหวาดระแวง (Paranoia) แต่นั่นทำให้เธอสามารถเอาตัวรอดได้เมื่อมีอันตราย และมีนิสัยเหมือนเด็กผู้ชาย (Boyish) หรือการโอบอุ้มความเป็นชายเข้ามา

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรไปจากภาพยนตร์สยองขวัญแนวไล่เชือด เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่ไปอยู่นอกโลก ภายในยานอวกาศที่เป็นสถานที่ปิดตาย เปลี่ยนจากฆาตกรโรคจิตที่เป็นคนธรรมดาเป็นสิ่งมีชีวิตสุดอันตรายที่โอบอุ้มทั้งความแข็งแกร่งเหมือนเพศชายและสัญลักษณ์ของเพศชาย ดังที่ได้เห็นในหัวข้อการออกแบบเอเลี่ยน แม้ว่าเรื่องของพรหมจรรย์ของริปลี่ย์จะไม่มีการกล่าวถึง แต่เธอก็ไม่ได้แสดงความต้องการทางเพศออกมาตลอดเวลาทั้ง 117 นาทีของภาพยนตร์เรื่องนี้
โดยชิ้นส่วนสุดท้ายในการรอดชีวิตของริปลี่ย์ คือ ปืนไฟ (Harpoon Gun) อาวุธที่เป็นตัวแทนของเครื่องเพศชาย เพื่อสร้างความเหนือกว่าหรือเท่ากับให้เกิดขึ้นระหว่างตัวเธอกับซีโนมอร์ฟ
อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับอสุรกายยังไม่ท้าทายเท่ากับการเผชิญกับปิตาธิปไตย (Patriarchy) ทำให้ตัวเอกของเราต้องพยายามค้นหาพื้นที่ของตัวเองและรักษาพื้นที่นั้นไว้ให้มากพอกับการรักษาชีวิตของเธอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหารายได้ที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงหรือผู้หญิงกับการเป็นผู้นำ ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องการที่จะอยู่ใต้บังคับบัญชา
ภาพยนตร์ยังนำเสนอประเด็นการข่มขืนกับการกำจัดเสียงของผู้หญิง หลังจากริปลี่ย์รู้ถึงภารกิจลับ 937 ซึ่งเป็นภารกิจที่แท้จริงในการเดินทางครั้งนี้ โดยเป็นการจับสิ่งมีชีวิตเพื่อนำกลับมาทดลองให้ได้ แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของลูกเรือกี่คนก็ตาม
เมื่อริปลี่ย์ทราบจึงไปหา แอช (Ash) นักวิทยาศาสตร์ประจำยานทันที เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการนองเลือด แต่กลับถูกแอชทำร้ายด้วยการพยายามยัดหนังสือโป๊ลงไปในปากของเธอ เป็นนัยยะของความรุนแรงทางเพศเพื่อปิดปาก แต่ เดนนิส ปาร์คเกอร์ (Dennis Parker) สามารถมาช่วยริปลี่ย์ได้ทันและค้นพบความลับที่ว่าที่จริงแล้วแอชเป็นหุ่นแอนดรอย์ชื่อ Hyperdyne Systems 120-A/2 ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำภารกิจลับ
นอกเหนือจากริปลี่ย์ที่ต้องเผชิญกับความโหดร้ายในรูปแบบต่างๆ บนยานนอสโตรโม ยังมีตัวละครที่เรียกได้ว่าถือว่าเป็นอีกหนึ่งความเป็นอื่นอย่าง โจแอน แลมเบิร์ต (Joan Lambert) ซึ่งถูกใส่เข้ามาใน Special Features ของภาพยนตร์ภาคต่อ Aliens (1986) บอกเล่าข้อมูลของลูกเรือในภาพยนตร์ต้นฉบับ รวมทั้งเปิดเผยอัตลักษณ์ของเธอในฐานะผู้หญิงข้ามเพศ (Trans Representation) ที่มีการผ่าตัดยืนยันเพศจากเพศกำเนิดชายเป็นหญิง แม้ว่าจะเป็นรายละเอียดเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ Alien เป็นภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ยุคแรกที่มีภาพตัวแทนของเควียร์ปรากฎอยู่ในสื่อ
การต่อสู้เพื่อหาพื้นที่ให้กับตัวเองของริปลี่ย์ดำเนินต่อไป จนกระทั่งเหลือเพียงแค่เธอในฐานะหญิงสาวผู้รอดชีวิตเป็นคนสุดท้าย ทำให้เธอเป็นที่จดจำของผู้ชมในฐานะหญิงแกร่งที่ลบล้างภาพลักษณ์ผู้หญิงทั่วไปที่สังคมกำหนดมาอย่างสิ้นเชิง
นับได้ว่า Alien เป็นภาพยนตร์ที่ไม่เพียงส่งมอบความบันเทิงท้าทายความคิดของผู้ชมที่ไม่สามารถหาได้ในภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์และสยองขวัญเรื่องอื่น
มาร่วมออกเดินทางไปกับกลุ่มนักตะลุยอวกาศรุ่นใหม่ ซึ่งกำลังทะยานเข้าสู่ฝันร้ายอย่างที่ไม่มีใครจินตนาการถึงกับ Alien: Romulus ด้วยผลงานการกำกับของเฟเด อัลบาเรซ (Fede Alvarez) ที่เคยฝากความสยองขวัญไว้กับ Evil Dead (2013) และมีริดลี่ย์ สก๊อตนั่งแท่นเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์
ต่อให้กรีดร้องก้องกู่จนสุดเสียง ก็ไม่มีใครในจักรวาลอันเงียบงันที่สามารถได้ยิน
Sources:
- Men, Women, and Chainsaws: Gender in the Modern Horror Film โดย Carol J. Clover
- The Dread of Difference : Gender and the Horror Film โดย Barry Keith Grant
- The Final Girl versus Wes Craven’s A Nightmare on ElmStreet:Proposing a Stronger Model of Feminism in Slasher Horror Cinema โดย Kyle Christensen
- The Monstrous-Feminine: Film, Feminism, Psychoanalysis โดย Barbara Creed
- Woman: The Other Alien in Alien โดย Rebecca Bell-Metereau
- http://avp.wikia.com/wiki/Alien_(film)
- http://www.avp.siligon.com/a_giger.htm
- https://screenrant.com/alien-trans-woman-joan-lambert-lgbtq
- https://www.20thcenturystudios.com/movies/alien