Emily Dickinson หรือ เอมิลี ดิกคินสัน เกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1830 ที่เมืองแอมเฮิร์สต์ รัฐแมสซาชูเซตส์ พ่อของเธอคือ เอ็ดเวิร์ด ดิกคินสัน นักการเมืองคนสำคัญ ในบ้านหลังข้างๆ ของดิกคินสัน พี่ชายของเธอ ออสติน เป็นทนายความและอาศัยอยู่กับภรรยาของเขา ซูซาน กิลเบิร์ต น้องสาวของเธอชื่อ ลาวีเนีย อาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกันและเป็นคู่หูคนสำคัญในตลอดช่วงชีวิตของดิกคินสัน
แม้ดิกคินสันจะเขียนบทกวีจำนวนมากและมักแนบไปกับจดหมายถึงเพื่อนๆ และคนสนิท แต่เธอไม่ได้เป็นที่รู้จักทันทีในระหว่างที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ผลงานของเธอได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกหลังจากที่เธอเสียชีวิต โดยเธอเสียชีวิตในแอมเฮิร์สต์เมื่อปี ค.ศ. 1886 ครอบครัวพบสมุดรวมบทกวีที่เธอเขียนเองจำนวน 40 เล่ม รวมเกือบ 1,800 บท เรียกว่า “fascicle” หรือ หนังสือที่มีเนื้อหามากและทยอยตีพิมพ์ทีละส่วน ซึ่งบทกวีเหล่านี้ใช้เครื่องหมายต่างๆ แทนวรรคตอน มีทิศทางของขีดและขนาดที่หลากหลาย
บรรณาธิการยุคแรกๆ มักลบเครื่องหมายเหล่านั้นออก ปัจจุบันมีการใช้ขีด en-dash ซึ่งใกล้เคียงกับต้นฉบับมากขึ้น และบทกวีได้รับการเรียงลำดับใหม่ตามต้นฉบับเดิมในปี ค.ศ. 1981 โดยราล์ฟ ดับเบิลยู แฟรงคลิน ที่ใช้หลักฐานจากตัวกระดาษ เช่น รอยเย็บและรอยเปื้อน เพื่อจัดลำดับใหม่ให้ตรงตามที่ดิกคินสันตั้งใจซึ่งมีนักวิจารณ์หลายคนเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นการรวบรวมเนื้อหาให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่ลำดับตามเวลาเท่านั้น และปัจจุบันมีเพียงหนังสือ The Manuscript Books of Emily Dickinson (1981) เป็นฉบับเดียวเท่านั้นที่ยังคงลำดับเดิมไว้อย่างครบถ้วน
ซูซาน กิลเบิร์ต ดิกคินสัน (Susan Gilbert Dickinson) หรือ ซู เป็นคนสำคัญอย่างยิ่งของเอมิลี ดิกคินสัน เห็นได้จากมิตรภาพอันยาวนานที่ทั้งสองรักษาไว้ผ่านการเขียนจดหมายถึงกัน ทว่าในกวีนิพนธ์ จดหมาย และบทกวีที่แทรกอยู่ในจดหมายแต่ละฉบับของดิกคินสัน ชื่อของซูเริ่มจะกลายเป็นตัวแทนของมโนทัศน์ที่ลึกซึ้งมากกว่าจะเป็นเพียงแค่มิตรสหาย ชื่อของซูกลายเป็นอุปมา และถูกเอ่ยถึงผ่านการใช้โวหารภาพพจน์ บ้างกลายเป็นคำคล้องจองในบทกวีและจดหมายหลายฉบับของดิกคินสัน โดยบทกวีถึงซูที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด และอยากชวนอ่านไปพร้อมๆ กันในบทความนี้ก็คือ “One Sister have I in Our House” กวีนิพนธ์บทนี้อยู่ในจดหมายที่ดิกคินสันเขียนให้ซูเนื่องในวันเกิดครบ 28 ปี ของซู
เพื่อความเข้าใจในบริบทของบทกวีมากขึ้น ผู้เขียนขออนุญาตแปลบทนี้เป็นภาษาไทยด้วยคำที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และไม่มีสัมผัสคล้องจอง แต่ยังคงไว้ซึ่งความหมายตามต้นฉบับ หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
One Sister have I in our house,
And one, a hedge away.
There’s only one recorded,
But both belong to me.
One came the road that I came –
And wore my last year’s gown –
The other, as a bird her nest,
Builded our hearts among.
She did not sing as we did –
It was a different tune –
Herself to her a music
As Bumble bee of June.
Today is far from Childhood –
But up and down the hills
I held her hand the tighter –
Which shortened all the miles –
And still her hum
The years among,
Deceives the Butterfly;
Still in her Eye
The Violets lie
Mouldered this many May.
I spilt the dew –
But took the morn –
I chose this single star
From out the wide night’s numbers –
Sue – forevermore!
ฉันมีน้องสาวคนหนึ่ง
ทว่ามีอีกคนหนึ่ง ห่างกันเพียงรั้วกั้น
มีเพียงหนึ่งซึ่งบันทึกไว้
ทั้งคู่ล้วนเป็นของฉัน
หนึ่งในนั้นเดินร่วมทางมากับฉัน
และนุ่งชุดกระโปรงที่ฉันเคยใส่เมื่อปีก่อน
อีกคนหนึ่งดังนกผู้สร้างรวงรัง
ถักทอความรักความผูกพัน
เธอไม่ได้ขับขานเฉกเช่นพวกเรา
หากเป็นโทนเสียงที่ต่างไป
เธอเป็นเสียงเพลงของตัวเธอเอง
ดั่งผึ้งหลวงเมื่อเดือนหก
วันนี้แสนห่างไกลจากวัยเยาว์
ฟันฝ่าทั้งยอดภูผาและหุบเหว
ยิ่งฉันกุมมือเธอไว้มั่นขึ้น
ระยะทางยิ่งผ่านไปทันตา
เสียงฮึมฮัมของเธอ
ยังก้องอยู่ทุกคืนวัน
หลอกล่อผีเสื้อ
ในดวงตาของเธอ
ยังปรากฏซึ่งดอกไวโอเลต
มอดม้วยเดือนห้าไปหลายครา
ฉันทำหยาดน้ำค้างหก
แต่ได้มาซึ่งรุ่งอรุณ
ฉันเลือกเจ้าดวงดาราผู้โดดเดี่ยว
จากหมู่ดาวนับล้านบนฟากฟ้า
ซู ตราบชั่วนิรันดร์กาล
เอมิลี ดิกคินสัน เลือกใช้คำประเภทกวีนิพนธ์ไร้ฉันทลักษณ์ (Free Verse) ที่มีลักษณะคล้ายร้อยแก้วเมื่อเทียบเคียงกับรูปแบบของบทกวีภาษาไทย โดยไร้ซึ่งข้อจำกัดด้านจำนวนคำและตำแหน่งคำสัมผัส โดยในเนื้อหาพูดถึงความสัมพันธ์กับผู้เป็นพี่น้องสองรูปแบบ ดิกคินสันเล่าถึงคนสองคนที่มีความสำคัญในชีวิตของเธอ เอมิลี ดิกคินสัน มีน้องสาวแท้ๆ คือ ลาวีเนีย นอร์ครอส ดิกคินสัน สองพี่น้องเติบโตมาด้วยกันและสนิทสนมกันมาก ลาวีเนีย ยังเป็นอีกหนึ่งคนที่มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์งานเขียนของเอมิลี ดิกคินสันในช่วงหลังจากที่เธอเสียชีวิต แต่นอกจากลาวีเนียแล้ว ซูซาน กิลเบิร์ต ดิกคินสัน ก็เป็นอีกหนึ่งคนสำคัญที่มีบทบาทอย่างมากกับชีวิตของดิกคินสันเช่นเดียวกัน
น้องสาวคนแรกที่ถูกกล่าวถึงในกลอนบทนี้แน่นอนว่าคือ ลาวีเนีย ผู้เติบโตมาพร้อมกันกับเอมิลี ดิกคินสัน ตั้งแต่ยังเด็ก และพี่สาวอีกคนหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงในบทกวีนี้ก็คือผู้รับอย่าง ซูซาน กิลเบิร์ต ดิกคินสัน เมื่อลองอ่านจนจบแล้วจะเห็นความแตกต่างที่ดิกคินสันได้พูดถึงคนสองคนนี้ รวมทั้งจะเห็นความลึกซึ้งทางความสัมพันธ์ที่ดิกคินสันมีให้กับซูอีกด้วย ลาวีเนีย เป็นตัวแทนของผู้ที่เดินร่วมทางกันมากับเอมิลีและได้มีประสบการณ์ร่วมกันมาทั้งกายภาพ และความสัมพันธ์ทางสายเลือด รูปแบบของความสัมพันธ์นี้เองปรากฏผ่านการพูดถึงน้องสาวในวรรคที่ว่า “เดินร่วมทางมากับฉัน และนุ่งชุดกระโปรงที่ฉันเคยใส่เมื่อปีก่อน”
ในขณะที่ซู “ไม่ได้ขับขานเฉกเช่นพวกเรา” และ “เป็นโทนเสียงที่ต่างไป” ดิกคินสันเปรียบซูเป็นนกผู้สร้างรังแห่งความรักความผูกพัน แม้ไม่ได้เดินเคียงคู่ร่วมทางกันมาตั้งแต่เด็กเหมือนกับลาวีเนีย แต่หลายช่วงหลายตอนของบทกวีนี้ก็เน้นย้ำความสัมพันธ์ซึ่งเต็มไปด้วยความ รัก หวงแหน และความรู้สึกผูกพันในอีกรูปแบบหนึ่งที่ดิกคินสันมีให้กับซู
“เธอเป็นเสียงเพลงของตัวเธอเอง ดั่งผึ้งหลวงเมื่อเดือนหก” เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจในกลอนบทนี้เนื่องจากเมื่อตีความอุปมาซึ่งดิกคินสันได้เปรียบเปรยเสียงของซู ดั่งผึ้งหลวง โดยที่ลักษณะของผึ้งหลวงนั้นโดดเด่น เป็นที่ต้องตาด้วยขนาดที่ใหญ่ และมีเสน่ห์เฉพาะตัว ดังนั้นอาจตีความได้ว่าดิกคินสันกล่าวถึงซูโดยใช้ผึ้งหลวงเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามที่ยิ่งใหญ่ของซู หรืออาจตีความผ่านชีวประวัติของซู เนื่องจากซูนั้นเติบโตที่นครนิวยอร์ก ตั้งแต่ยังเด็ก แต่เอมิลี ดิกคินสัน เติบโตใน รัฐ แมสซาซูเซตส์ ซึ่งเป็นรัฐที่อยู่ในเขตนิวอิงแลนด์ การเติบโตในภูมิภาคที่ต่างกัน ก็ส่งผลให้มีการใช้สำเนียงที่ต่างกันด้วย ดังนั้นการกล่าวถึงเรื่องเสียงซึ่งแตกต่างไปจากเสียงของ ‘พวกเรา’ ที่ดิกคินสันได้เขียนไว้นี้เองอาจหมายถึงความแตกต่างทางสำเนียง ว่าซูไม่มีสำเนียงนิวอิงแลนด์เหมือนกับบ้านดิกคินสัน
แต่อย่างไรก็ยังมีสำเนียงเฉพาะตัวของเธอเองซึ่งภายหลังได้ถูกกล่าวถึงซ้ำว่าเสียงฮึมฮัมนี้เองยังก้องและวนเวียนในหัวของดิกคินสันไม่อาจสลัดทิ้งไปได้ โดยเสียงนี้เอง ได้ปรากฏในวรรคต่อมาว่าล่อลวง “ผีเสื้อ” ซึ่งเป็นภาพแทนของความโรแมนติกและให้ความหมายแฝงของความเป็นหญิง อาจมีความเป็นไปได้ที่เราจะตีความว่า ดิกคินสันแทนตัวเองเป็นผีเสื้อ และบอกเล่าความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกระหว่างเธอเองกับซูในท่อนนี้ของบทกลอนด้วย
เมื่อยิ่งอ่านลึกลงไปเรื่อยๆ บทกวีจะพูดถึงเนื้อหาที่เล่าถึงความพิเศษของความสัมพันธ์ โดยอีกแง่หนึ่งก็ตีความได้ว่าเป็นเรื่องราวที่โรแมนติก จากวรรคที่พรรณนาภาพสะท้อนของดอกไวโอเลตในดวงตาของซู หากการเห็นดอกไม้ผ่านตาของตัวเองว่าสวยงามแล้ว การได้เห็นความสวยงามผ่านแววตาของผู้เป็นที่รักนั้นย่อมลึกซึ้งสวยงามกว่า บทกวียังกล่าวต่อมาอีกว่า ยังคงเห็นภาพสะท้อนนั้นแม้ผ่านเดือนพฤษภาคมไปหลายครั้งครา นั่นหมายความว่า แม้วันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ความรักที่มีต่อซู หรืออาจเป็นความงามของเธอยังคงติดตรึงอยู่ในใจของดิกคินสันเสมอ
ความไพเราะของภาษาที่ดิกคินสันเลือกใช้ในวรรคต่อมาเป็นอีกหนึ่งจุดที่เน้นย้ำความลึกซึ้งและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักในความสัมพันธ์ของเธอทั้งสอง โดยเราอาจตีความการ “ทำหยาดน้ำค้างหก แต่ได้มาซึ่งรุ่งอรุณ” ในท่อนนี้ได้ว่า แม้ชีวิตของดิกคินสันจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป ในที่นี้อาจหมายถึงความโศกเศร้า หรือใช้น้ำค้างเป็นสัญลักษณ์ของน้ำตา แทนความเสียใจ แต่กลับได้พบกับซูผู้เป็นความสดใสดั่งรุ่งอรุณ อีกทั้งยังแทนซูเป็น “ดวงดาราผู้โดดเดี่ยว” นั่นอาจหมายความว่า ซูเป็นผู้เดียวที่ดิกคินสันเลือกจากคนนับล้าน เป็นคนพิเศษที่เหนือกว่าใคร ก่อนจะปิดท้ายกวีนิพนธ์บทนี้ด้วยคำมั่นว่า ซู ตราบชั่วนิรันดร์กาล ซึ่งเป็นวลีที่เป็นที่นิยมที่สุดเมื่อนึกถึงเอมิลี ดิกคินสัน และ ซูซาน กิลเบิร์ต ดิกคินสัน
สามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Emily Dickinson ได้ที่ The Emily Dickinson Museum
ผู้เขียน: Onnicha P.
References:
- https://poets.org/poet/emily-dickinson
- https://www.emilydickinsonmuseum.org/lavinia-norcross-dickinson-1833-1899-sister/
- https://discover.hubpages.com/literature/emily-dickinsons-one-sister-have-i-in-our-house