เมื่อพูดถึงชื่อของ Jade LeMac หลายคนอาจจะรู้จักผ่านโซเชียลมีเดียของเธออย่าง TikTok จากเด็กที่ทำคลิปวิดีโอเกี่ยวกับ LGBTQIAN+ อยู่บ่อยครั้ง หรือในฐานะศิลปินเควียร์หน้าใหม่ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดระหว่างแนวเพลง ผู้มาพร้อมกับเสียงร้องเข้าถึงอารมณ์และสไตล์ที่ไม่ยึดติดกับแนวเพลงใดๆ
เธอคืออีกหนึ่งศิลปินที่ The Noize Magazine ได้มีโอกาสพูดคุย เกี่ยวกับชีวิตวัยเด็ก ครอบครัว เชื้อชาติ เส้นทางการเป็นนักดนตรี และการเปิดตัว EP ล่าสุดที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนทางอารมณ์ ‘It’s Always At Night‘
การเติบโต ในครอบครัวที่รักเสียงดนตรี
คงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเหล่าศิลปินที่หลงรักเสียงดนตรีมาตั้งแต่เยาว์วัย ซึ่งเติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ครอบครัวคอยบ่มเพาะให้กับเธอ Jade LeMac เริ่มเขียนเพลงตั้งแต่อายุราว 11-12 ปี ก่อนที่จะปล่อยเพลงแรก “Constellations” หลังจากที่ได้รับความสนใจอย่างมากบนแพลตฟอร์ม Tik Tok จุดเริ่มต้นของความรักในเสียงเพลงของเธอนั้นหยั่งรากลึกมาจากประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครในวัยเด็ก “สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ฉันอยากเดินตามเส้นทางสายดนตรี” เธอกล่าวถึงการเติบโตในบ้านที่มีญาติถึง 10 คน และวัฒนธรรมคาราโอเกะของครอบครัว “มันทำให้ฉันได้รู้ว่าตัวเองรักการร้องเพลงมากแค่ไหน และให้ความสนใจกับเนื้อความที่ถูกร้อยเรียงขึ้นมาในแต่ละบทเพลง” เพลงโปรดที่เธอชอบร้องคาราโอเกะก็เปลี่ยนไปตามวัย จาก Adele ในเพลง “Someone Like You” สู่ “Boyfriend” ของ Justin Bieber ในปัจจุบัน
ครอบครัวของเธอฝั่งแม่มีเชื้อสายเวียดนาม-จีน แม้เธอจะไม่สามารถพูดภาษาเวียดนามได้อย่างคล่องแคล่ว แต่การได้ยินเพลงภาษาเวียดนามผ่านวัฒนธรรมคาราโอเกะของที่บ้านก็มีบทบาทสำคัญที่คอยช่วยเชื่อมเธอเข้ากับรากเหง้าความเป็นเวียดนาม ซึ่งไหลเวียนอยู่ในสายเลือด “คาราโอเกะเวียดนามเป็นอีกส่วนสำคัญในวัยเด็กของฉัน และแม้ว่าฉันจะไม่ได้พูดภาษาเวียดนามปร๋อเท่าไหร่อ่ะนะ แต่มันก็เชื่อมโยงฉันเข้ากับครอบครัวได้ดีมาก” เธอยืนยันถึงความปรารถนาที่จะสำรวจรากเหง้าของตนเอง “ฉันอยากจะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษาและวัฒนธรรมเวียดนามของฉัน และหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้นำมันมาผสมผสานในดนตรีของตัวเอง”
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความเกี่ยวข้องของความเป็นชาวเวียดนาม-แคนาดา กับความสามารถในการก้าวข้ามแนวเพลงที่ Warner Music Canada ยกย่อง เธอกล่าวว่า “เรื่องเชื้อชาติอาจจะไม่ได้ส่งผลต่อการทำเพลงโดยตรง แต่ก็มีส่วนในการหล่อหลอมตัวฉันในฐานะศิลปินคนหนึ่ง เพราะฉันคงจะไม่ได้ทำดนตรีแบบที่ฉันกำลังทำอยู่ขณะนี้แน่ ถ้าฉันไม่แสดงออกถึงความเป็นตัวเอง”
‘It’s Always At Night’: การสำรวจมุมมองใหม่
หลังจากการปล่อย EP ล่าสุด ‘It’s Always At Night’ เจด เลอแม็ก ได้แบ่งปันเบื้องหลังเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ JVP ในอัลบั้มนี้ด้วยว่า “กระบวนการสำหรับโปรเจกต์นี้สนุกมาก มีแค่ฉันกับโปรดิวเซอร์ JVP เท่านั้น” เธอย้อนความหลัง “เป็นการทำอัลบั้มที่ได้เขียนเพลงมากมาย ใช้เวลาหลายวันในสตูดิโอ เพื่อปรับปรุงบทเพลงเหล่านั้น ฉันได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์หลากหลายที่ฉันได้ประสบพบเจอ รวมถึงยังเป็นการได้ใช้เวลาอยู่กับความคิดของตัวเองในขณะขับรถด้วย”
EP ชุดนี้ถือเป็นความแตกต่างจากผลงานก่อนหน้าอย่างชัดเจน “EP นี้เป็นก้าวสำคัญในการค้นพบซาวน์ที่ฉันรัก” เธอกล่าว และยังอธิบายด้วยว่าสิ่งที่ทำให้ ‘It’s Always At Night’ โดดเด่นคือเทคนิคการใช้เสียงร้อง “อย่างเช่น การใช้เสียงร้องของตัวเองที่เกือบจะเหมือนเป็นเครื่องดนตรี การร้องโดยใช้เสียงซ้อนเลเยอร์กันหลายชั้น”
เธอยังกล่าวเสริมว่านี่เป็นครั้งแรกๆ ที่เธอได้บันทึกเสียงตัวเองขณะเล่นกีตาร์ และหนึ่งในประสบการณ์ที่น่าจดจำที่สุดในการทำ EP นี้คือการได้บรรดาเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวมาร่วมร้องประสานเสียงในเพลง “การมีทั้งเพื่อนและครอบครัวอยู่ในสตูดิโอพร้อมกันเป็นประสบการณ์ที่สนุกมาก มันเป็นส่วนที่ฉันชอบที่สุดส่วนหนึ่งของโปรเจกต์นี้ ซึ่งฉันจะจดจำช่วงเวลานั้นไว้ตลอด”
สำหรับเพลงโปรดของเธอในชุดนี้คือเพลง “Sweet Dreams” เนื่องจากเธอหลงรักเนื้อเพลงและทำนองที่ขัดแย้งกันในบางครั้ง หากจะเปรียบเทียบ EP นี้กับภาพยนตร์ เจดยอมรับว่าไม่มีเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เชื่อมโยงกับอัลบั้มได้ทั้งชุด แต่เพลง “Sweet Dreams” มักจะทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับตอนดูภาพยนตร์ดิสโทเปียชื่อดังอย่าง “The Hunger Games” ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยอารมณ์
ความท้าทายในวงการเพลงและการเป็นตัวแทน LGBTQIAN+ ยุคใหม่
ย้อนกลับไปในปี 2022 ชื่อของ Jade LeMac ได้รับเกียรติจาก GLAAD ให้เป็นหนึ่งใน “20 under 20” LGBTQ+ Changemakers in 2022 ในฐานะศิลปินเควียร์ที่น่าจับตามอง เมื่อถามถึงบทบาทของเธอในการเป็นกระบอกเสียงของชุมชน เธอกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ฉันมีความภาคภูมิใจในตัวตนของฉันตลอด และจะแสดงออกถึงสิ่งที่ฉันเป็นเสมอ” พร้อมทั้งเสริมว่า “ฉันเปิดกว้างมาก และต้องการที่จะเป็นบุคคลที่ตัวฉันในวัยเด็กต้องการ”
นอกจากนี้แล้ว เธอยังติดตามศิลปินเควียร์คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Eli ที่เธอกล่าวว่ามีความสามารถอย่างมาก ในขณะเดียวกัน เธอก็ตระหนักถึงความท้าทายในวงการดนตรีที่ยังคงมีอยู่สำหรับศิลปินหญิงชาวเอเชียผู้มีความหลากหลายทางเพศ “ฉันคิดว่ามันเป็นปัญหามาตลอด เราไม่ใช่ศิลปินหญิงตามแบบฉบับที่สังคมตีกรอบไว้ แต่ฉันอยากจะมองว่ามันเป็นข้อได้เปรียบด้วยซ้ำ เพราะเรามีเอกลักษณ์และสวยงามในแบบของเรา”
เมื่อถามถึงอนาคตในอีกห้าปีข้างหน้า เธอคาดหวังเพียงว่า “จะยังคงทำในสิ่งที่รัก ในขณะที่เป็นตัวฉันในเวอร์ชันที่ดีที่สุดและมีสุขภาพดีที่สุดค่ะ” และสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอเคยได้รับในฐานะศิลปินคือคำแนะนำสั้นๆ แต่ทรงพลัง “จงนำพาตัวเองออกไปสู่โลกภายนอก”
ที่สำคัญเลยก็คือ เพลง Constellations ซึ่งเป็นผลงานแจ้งเกิดของเธอ มีการนำไปใช้ในซีรีส์และภาพยนตร์ของ Netflix และ Tubi ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่น่าประทับใจ “เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากที่ได้เห็นเพลงของฉันอยู่บนจอภาพยนตร์ ฉันรู้สึกขอบคุณมากสำหรับโอกาสที่ได้รับนี้” เธอมีความรักในภาพยนตร์แนวดิสโทเปียและโรแมนติกคอมเมดี้ ซึ่งเป็นประเภทที่เธออยากจะสร้างสรรค์ดนตรีประกอบให้ เช่นเดียวกับความฝันที่จะได้ร่วมงานกับศิลปินหลายคนที่เธอชื่นชอบ เช่น Billie Eilish, Troye Sivan, Kehlani, และ Ryan Beatty สักวันหนึ่ง
ในฐานะศิลปินที่รับรู้ว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่งที่สุดทั่วโลก Jade แสดงความหวังอย่างชัดเจนที่จะได้มาทัวร์เอเชียและประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ “หวังว่าจะได้มาประเทศไทยสักทีนะ เพราะฉันอยากไปเยือนที่นี่มาก!”
ข้อความสุดท้ายที่ Jade LeMac ฝากถึงแฟนๆ ชาวไทยของเธอคือ: “ฉันรักพวกคุณทุกคน และหวังว่าจะได้พบพวกคุณเร็วๆ นี้นะ!”
สตรีม ‘It’s Always At Night’ จาก Jade LeMac ได้เลยที่ https://lnk.to/ItsAlwaysAtNightPR
Special thanks to Jade LeMac and Secret Signals