แทบจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ในทุกๆ เดือนมิถุนายนซึ่งเป็นเดือนแห่งความภาคภูมิใจของผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ Pride Month หลายๆ แบรนด์เริ่มเปลี่ยนโลโก้ของตัวเองเป็นสีรุ้งบนแพลตฟอร์มต่างๆ รวมทั้ง บริษัทห้างร้านก็จะเต็มไปด้วยธงสีรุ้งประดับประดาอยู่ให้เห็น เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในเดือนไพรด์ บ้างก็เพื่อสนับสนุนอย่างจริงจัง บ้างก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือทางการตลาดเพื่อเอาใจชาว LGBTQIAN+
แม้ว่าในปัจจุบัน ประเทศไทยได้มีการมอบคืนสิทธิในการสมรสให้กับทุกเพศอย่างเท่าเทียมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้มีความหลากหลายทางเพศยังไม่ได้รับสิทธิที่พวกเขาควรจะได้รับอย่างครอบคลุมด้วยซ้ำ คำถามจึงเกิดขึ้นกับแบรนด์หรือผู้ที่อ้างว่าตนสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้โลโก้สีรุ้งเฉพาะเดือนมิถุนายน รวมทั้งการนำอัตลักษณ์เหล่านั้นไปใช้เพื่อการตลาด ทำให้แบรนด์ดูเข้าถึงกลุ่ม LGBTQIAN+ ในช่วงเดือนดังกล่าว
หรือซ้ำร้ายกว่านั้น กลายเป็นการกระทำปาหี่ระดับนานาชาติที่หยิบฉวยนำเอาอัตลักษณ์ของผู้มีความหลากหลายทางเพศไปใช้สร้างภาพลักษณ์ที่ดี แปะป้ายความเกลียดชังให้กับฝ่ายตรงข้าม เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ทางการเมืองให้กับตัวเอง โดยไม่ได้เป็นการสนับสนุนชุมชนเควียร์แม้แต่น้อย
วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับการตลาดที่ทำทีว่าสนับสนุน แต่แท้จริงแล้วแค่ต้องการกอบโกยผลประโยชน์จากชุมชนเควียร์เพียงก็เท่านั้น
“Pinkwashing” หรือ “Rainbow Washing” คืออะไร?
Pinkwashing หรือ Rainbow Washing คือ การเพิ่มหรือใช้สีรุ้ง รวมถึงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้อง ลงในการโฆษณา เพื่อแสดงว่าตัวเองนั้นสนับสนุนการเคลื่อนไหวและความเท่าเทียมของ LGBTQIAN+ เป้าหมายหลักคือการเรียกความสนใจและความเชื่อถือจากกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQIAN+ แต่แบรนด์เองอาจจะไม่ได้มีการสนับสนุนชุมชนเควียร์อย่างจริงจังที่จับต้องได้
จนนำไปสู่การตั้งคำถามกับการกระทำเหล่านี้อยู่ทุกปีว่า แท้จริงแล้วเจ้าของโลโก้สีรุ้งได้มีการสนับสนุนและทำประโยชน์ที่ยั่งยืนให้แก่คอมมูนิตี้จริงหรือไม่ — หรือทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่เครื่องมือทางการตลาดเท่านั้น
ข้อกังขาดังกล่าว ยิ่งเป็นที่น่าถกเถียงกันเข้าไปใหญ่ เมื่อโลโก้ทางการค้าพวกนั้นกลับขจัดสีรุ้งออกไปทันทีเมื่อวันแรกของเดือนกรกฎาคมมาถึง ซึ่งก็ดูย้อนแย้งกับภาพลักษณ์ของพันธมิตร LGBTQIAN+ ที่ทางแบรนด์พยายามสร้างมาตลอดทั้งเดือนมิถุนายน
จุดเริ่มต้นของ Rainbow Washing
ถ้าพูดถึงจุดเริ่มต้นของ Rainbow Washing อาจจะต้องย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของ Pinkwashing กันเสียก่อน เพราะทั้งสองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกัน
Pinkwashing เริ่มต้นมาจากการหยิบคำว่า Whitewash มาดัดแปลง ซึ่ง Breast Cancer Action (BCA) องค์กรเพื่อการต่อสู้ ดูแล และให้ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม เป็นผู้นำคำว่า Pinkwashing มาใช้เป็นครั้งแรกในช่วงปี 2002 เพื่อประนามแคมเปญสร้างความตระหนักรู้ที่จัดทำโดยบริษัทที่แสวงหากำไรจากผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเพศหญิง ซึ่งมักแสดงออกผ่านการติดริบบิ้นสีชมพู สัญลักษณ์ของการต่อสู้กับโรคมะเร็งเต้านม โดยที่จริงแล้ว บริษัทไม่ได้คำนึงถึงชีวิตของผู้หญิงที่พวกเขาอ้างว่าปกป้องผ่านการกระทำอย่างเป็นรูปธรรม โดยที่กลุ่ม BCA ได้เริ่มแคมเปญ Think Before You Pink เพื่อประท้วงการใช้โลโก้ริบบิ้นสีชมพูอย่างไม่เลือกหน้า เพื่อแสวงหากำไร
ทั้งนี้ สัญลักษณ์ริบบิ้นสีชมพู ซึ่งมีให้เห็นตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 นับเป็นรูปแบบหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า “การตลาดเพื่อสาธารณประโยชน์” ที่บริษัทต่างๆ ใช้เพื่อโฆษณาการสนับสนุนผู้รอดชีวิตจากมะเร็งเต้านมและองค์กรที่เกี่ยวข้อง
เมื่อเวลาผ่านไป การใช้คำว่า Pinkwashing ได้มีการขยายขอบเขตและความหมายเพิ่มขึ้นจากการผูกติดไว้กับการเป็นหญิงและโรคมะเร็งเต้านม เพื่อให้ครอบคลุมการวิพากษ์วิจารณ์บริษัทหรือแบรนด์ต่างๆ ที่ใช้สีสันอย่างสีรุ้งหรือ Rainbow Washing เพื่อส่งเสริมนัยยะแฝงทางการเมือง โดยเฉพาะการแอบอ้างขบวนการ LGBTQIAN+ ที่องค์กรต่างๆ ทำการตลาดเพื่อให้ตนเองมีภาพลักษณ์ที่ “เป็นมิตรกับกลุ่มรักเพศเดียวกัน” เพื่อสร้างความนิยมให้กับกลุ่มหัวก้าวหน้า
การย้อมสีกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์
ต่อมาในเดือนเมษายน ปี 2010 กลุ่มด้านความหลากทางเพศที่ต่อต้านการกระทำของอิสราเอลต่อปาเลสไตน์ภายใต้ชื่อ QUIT! (Queers Undermining Israeli Terrorism) ได้มีการกล่าวถึงการกระทำ Pinkwashing ที่มีลักษณะฉ้อฉลไม่ต่างจากการฟอกเขียว (Greenwashing) ซึ่งบริษัทหรือแบรนด์อ้างว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่มีความตระหนักรู้ในประเด็นสังคมดังกล่าว
กลุ่ม QUIT! ได้อธิบายเกี่ยวกับความหมายของ Pinkwashing ไว้ว่า ในช่วงเวลาที่ทั้งโลกต่อต้านการใช้ความรุนแรงในพื้นที่ปาเลสไตน์ ประเทศอิสราเอลเองได้เริ่มมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับประเทศ ผ่านการทุ่มเงินและทรัพยากรเพื่อให้คนมองว่าพวกเขาเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับคนรักเพศเดียวกัน รวมไปถึงการให้ทุนสนับสนุนภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเควียร์ส่งออกไปทั่วโลก สถานกงสุลอิสราเอลตามพื้นที่ต่างๆยังให้ทุนสนับสนุนนักเคลื่อนไหวเควียร์ เพื่อให้ประชาคมโลกมองเห็นว่าประเทศของตนเป็นสถานที่ปลอดภัยไว้หลบลี้หนีภัยสำหรับกลุ่มคนเพศหลากหลายที่ถูกคุกคามจากประเทศในแถบตะวันออกกลางโดยรอบที่มีแนวคิดต่อต้านการเป็นกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน
ทว่า การกระทำดังกล่าว ไม่ได้เป็นไปเพื่อปกป้องคนที่เป็นเควียร์ในพื้นที่ตามที่กล่าวอ้าง แต่เป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์เพื่อปกปิดการกดขี่ข่มเหงที่อิสราเอลกระทำต่อชาวปาเลสไตน์อย่างโหดร้าย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศหรือไม่ก็ตาม จากความพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ยังคงมีให้เห็นอยู่ตลอดจนถึงปัจจุบัน
ถัดมาในปี 2011 Sarah Schulman ได้นำคำว่า Pinkwashing มาใช้ในบทบรรณาธิการของ The New York Times เพื่อโต้แย้งถึงสิ่งที่อิสราเอลกระทำการฟอกชมพูและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของประเทศตนเองที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
เดือนตุลาคมปี 2012 โรงละคร Hoover Leppen ของ Center on Halsted ศูนย์ชุมชน LGBTQIAN+ ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองชิคาโก ได้ฉายภาพยนตร์ของ Doron Eran ผู้กำกับชาวอิสราเอลเรื่อง ‘Melting Away’ เล่าเรื่องราวการเรียนรู้ของพ่อแม่เพื่อยอมรับในตัวลูกที่เป็นคนข้ามเพศ และภาพยนตร์เรื่องที่สองคือ ‘Yossi’ ของ Eytan Fox ผู้กำกับชาวอเมริกันเชื้อสายอิสราเอล เกี่ยวกับเกย์หนุ่มที่สูญเสียคนรักที่เป็นทหารอิสราเอล แต่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ที่ประเทศเลบานอน ในเรื่องแสดงให้เห็นภาพของกลุ่มทหารอิสราเอลที่ยอมรับอัตลักษณ์เกย์ในกองทัพ แน่นอนว่าหน่วยงานรัฐของอิสราเอลเป็นผู้สนับสนุนการฉายภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้
การจัดฉายหนังดังกล่าว มีกลุ่มผู้ประท้วงสีชุดสีชมพูและสีดำ ซึ่งต่อต้านการแสวงหาประโยชน์จากกลุ่มเพศหลากหลายและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเควียร์เพื่อต่อต้านการกระทำของอิสราเอล
แน่นอนว่าการต่อสู้เพื่อต่อต้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ของกลุ่มคนรักเพศเดียวกันดำเนินมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 2000 เป็นต้นมา และได้มีการเปิดโปงแคมเปญประชาสัมพันธ์ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลอิสราเอลภายใต้ชื่อ Brand Israel
แคมเปญ Brand Israel ต้องการให้ทั้งโลกเห็นว่าอิสราเอลเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเกย์และเลสเบี้ยน ส่วนปาเลสไตน์เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและกลุ่มคนที่เกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน โดยนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิของเควียร์ใช้คำว่า Pinkwashing เพื่ออธิบายถึงการกระทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากการยึดครองปาเลสไตน์โดยกองกำลังของอิสราเอล
ในปี 2020 องค์กรเคลื่อนไหวด้านความหลากหลายทางเพศในปาเลสไตน์อย่าง Al-Qaws ได้ตีพิมพ์บทความ “Beyond Propaganda: Pinkwashing as Colonial Violence” ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับรัฐอิสราเอลและผู้สนับสนุน ซึ่งใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของกลุ่มเกย์และคนข้ามเพศ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของนานาชาติจากการกดขี่ชาวปาเลสไตน์
การฟอกรุ้งภายใต้ทุนนิยม
นอกเหนือจากฟากของการเมือง มิติทางการตลาดที่อยู่ใกล้ตัวพวกเราขึ้นไปอีกก็มีการฟอกสีให้กับการกระทำแบบเดียวกันอย่าง Rainbow Washing หรือที่รู้จักกันในชื่อ Rainbow Capitalism หรือ ทุนนิยมสีรุ้ง จากการวางกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่อยากให้คนให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงินให้กับนักการเมืองที่ต่อต้านผู้มีความหลากหลายทางเพศ ไปจนถึงการปกปิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงต่อกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เป็นต้น
หากย้อนกลับไปสักหลายสิบปีที่แล้ว การตลาดที่เน้นตีตลาด LGBTQIAN+ ส่วนใหญ่มักเน้นไปที่ธุรกิจท้องถิ่น เช่น บาร์ที่เป็นมิตรกับเกย์ ร้านอาหารหรือร้านหนังสือ กระทั่ง ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ทุนนิยมสีรุ้ง เป็นหนึ่งในการแสวงหากำไรจากการเคลื่อนไหวของกลุ่ม LGBTQIAN+ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศได้รับการยอมรับจากสังคมมากขึ้น เริ่มมีกำลังซื้อจับจ่ายใช้สอย เป็นกลุ่มผู้บริโภคศักยภาพที่รู้จักกันในนาม Pink Money
แต่การตลาดในยุคแรกๆ ยังคงฝังตัวอยู่ในวัฒนธรรมของเควียร์บางอย่าง รวมถึงสเตอริโอไทป์บางประการ ยกตัวอย่างเช่น การเหมารวมว่าผู้หญิงที่ขับรถยี่ห้อ Subaru มักจะเป็นกลุ่มเลสเบี้ยน ภาพจำเหล่านี้ก็เป็นผลมาจากการตลาดที่ชาญฉลาด โดยมี Tim Bennett อดีตผู้จัดการทางด้านการตลาดของรถยี่ห้อ Subaru เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
ในช่วงปี 1990 บริษัท Subaru ได้ระบุกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายไว้ 5 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ ครู ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค วิศวกร คนที่รักอิสระและเชื่อมั่นในตัวเอง และผู้หญิงที่เป็นผู้นำครอบครัว จากกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ มีหลายคนที่นิยามตัวเองว่าเลสเบี้ยน ส่งผลให้ Subaru เริ่มตีตลาดกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเควียร์ แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนที่ LGBTQIAN+ จะเข้าสู่สื่อกระแสหลักเสียอีก
Subaru ยังมีการทำโฆษณาออกมา แต่เป็นโฆษณาที่แสดงออกถึงตัวตนของเควียร์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น แบบป้ายทะเบียนของรถยี่ห้อ Subaru ที่เขียนว่า ‘P TOWNIE’ ซึ่งมาจากชื่อเมืองที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเกย์มาอย่างยาวนาน เป็นต้น
Bennett กล่าวว่า Subaru ไม่ได้มีความพยายามที่จะเปลี่ยนใจ หรือสนับสนุนกลุ่ม LGBTQIAN+ อย่างชัดเจน “เราไม่เคยบอกว่ามันเป็นรถของเกย์ มันไม่ใช่แบรนด์ของเกย์ แต่เรายอมรับว่าเราขายรถให้กับผู้บริโภคที่เป็นเกย์ก็เท่านั้น”
การตลาดเคลือบรุ้งในปัจจุบัน
ที่บอกว่าการตลาดเคลือบสีรุ้งนั้นไม่เกินจริง เพราะว่าในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีกระแสการตลาดช่วง Pride Month ที่เหล่านักการตลาดมักหยิบไปเล่นเป็นกระแส กลายเป็นการเดินเกมที่ค่อนข้างเซฟสำหรับธุรกิจ แต่ก็ไม่ได้ช่วยส่งผลในการขับเคลื่อนให้ชาว LGBTQIAN+ ในประเทศไทยให้ได้รับสิทธิต่างๆ อย่างเท่าเทียมเทียบเท่ากับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการกู้ร่วมเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ และยังมีประเด็นเกี่ยวข้องกับ Homophobic, Transphobic และความรุนแรงในด้านต่างๆ เกิดขึ้นกันอยู่เรื่อยๆ ให้เห็นในหน้าข่าว
แม้ว่า พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม จะได้รับการประกาศใช้ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อให้คู่รักที่เป็น LGBTQIAN+ ได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมกับคู่รักต่างเพศ สามารถสมรสกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้รับสิทธิต่างๆ ที่ครอบคลุมต่อการจดทะเบียน แต่คนที่เป็นเพศหลากหลายยังคงไม่ได้รับสิทธิตามที่พวกเขาควรจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนคำนำหน้านาม กฎหมายที่ให้ความคุ้มครองและป้องกันการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วยเหตุแห่งเพศ ความรุนแรงในครอบครัว และกฎหมายอื่นๆ
นอกจากในประเทศไทยแล้ว ในต่างประเทศเองก็เช่นกัน เห็นได้ชัดๆ กับประเด็นของทาง Disney ที่พยายามจะสนับสนุนความหลากหลายทางเพศผ่านสินค้าต่างๆ ที่ต้องการขาย โดยเฉพาะในเสื้อผ้าหมวด Rainbow Disney รวมไปถึงการนำเสนอความสัมพันธ์และตัวละคร LGBTQIAN+ เพิ่มขึ้นในผลงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอย่างทางฟากของ Marvel ที่มีฉากตัวละครเกย์และเลสเบี้ยนอย่างในภาพยนตร์ Eternals และ Doctor Strange in the Multiverse of Madness หรือจะเป็นผลงานจากของฝั่ง Star Wars ในภาค The Rise of Skywalker ที่แสดงให้เห็นถึงฉากจูบกันของผู้หญิงสองคนเป็นแบคกราวน์ รวมไปถึงซีรีส์ต่างๆ ทั้ง Andi Mack, Love Victor, Loki เป็นต้น ที่มีการนำเสนอตัวละคร LGBTQIAN+
ในปี 2022 การมีผลของข้อกฎหมายชื่อ “Don’t Say Gay” บังคับเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2022 ทำให้โรงเรียนในรัฐฟลอริดาไม่สามารถทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับ LGBTQIAN+ ให้นักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึง Grade 3 ซึ่งทางค่ายยักษ์ใหญ่ขวัญใจเด็กๆ ก็ไม่ได้ออกมาเรียกร้องอะไรเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าว มิหนำซ้ำ ยังมีสื่อที่ออกมาเปิดเผยว่าทาง Bob Chapek ผู้เป็น CEO ของดิสนีย์ ก็ได้บริจาคเงินให้กับนักการเมืองที่สนับสนุนร่างกฎหมายนั่นอีกด้วย
นอกจากนี้ ข้อมูลต่างๆ ที่ทางทีมงานภายในได้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับไอเดียในการสร้างตัวละครเควียร์ให้เป็นตัวหลักในผลงานต่างๆ ของค่าย ข้อเสนอเหล่านั้นก็ถูกปัดตกเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงการสั่งห้ามไม่ให้สร้างคอนเทนต์นำเสนอเรื่องราวของ LGBTQIAN+ อีกด้วย ทั้งที่ผลงานของดิสนีย์อาจช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนที่จะช่วยให้เกิดการแก้กฎหมายการเลือกปฏิบัติต่างๆ ได้
ด้วยเหตุการณ์ข้างต้น ทำให้เกิดการตั้งคำถามขึ้นมาว่า จริงๆ แล้ว ดิสนีย์ใส่ใจเกี่ยวกับ LGBTQIAN+ อย่างจริงจัง หรือแค่เป็นเพียงการตลาดที่เขาสามารถจับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เพียงเพราะพวกเขาสร้างเม็ดเงินย้อนกลับเข้าไปได้ เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลงานของดิสนีย์ที่ออกมาผ่านสื่อต่างๆ ก็ทำให้เราเห็นว่าพวกเขาสนับสนุนความหลากหลายทางเพศผ่านผลงานจำนวนมาก แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ Don’t Say Gay แล้ว ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายว่าแท้ที่จริงแล้ว พวกเขาไม่ได้แคร์ในเรื่องของ LGBTQIAN+ เลย
Rainbow Washing = การตลาดแบบหน้าไหว้หลังหลอก
หลายคนอาจจะคิดว่า แล้วการทำ Rainbow Washing โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายนนั้นส่งผลเสียต่อคอมมูนิตี้ LGBTQIAN+ อย่างไร ไม่นับว่าเป็นผลดีหรือ?
แน่นอนว่าการแสดงออกถึงการมีอยู่ของ LGBTQIAN+ และการสนับสนุนพวกเขานั้นสำคัญ แต่ต้องยอมรับว่าการเฉลิมฉลองเดือนไพรด์ในปัจจุบันเปิดโอกาสให้แบรนด์ต่างๆ เข้ามาหากินกับคอมมูนิตี้ได้ง่ายขึ้น ที่แย่ไปกว่านั้น บางแบรนด์ได้ออกคอลเลคชั่นที่เกี่ยวกับเควียร์ออกมา แต่กลับมีปัญหาการกีดกันพนักงานในองค์กรที่เป็น LGBTQIAN+ หรือผู้บริหารบางคนดันไปบริจาคเงินที่ได้จากการหากินกับอัตลักษณ์ของผู้มีความหลากหลายให้กับหน่วยงานที่ต่อต้านสมรสเท่าเทียมเสียอย่างนั้น
น่าเศร้าที่ธงไพรด์ สัญลักษณ์ของคอมมูนิตี้กลายเป็นเครื่องมือของการตลาดมากกว่าสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็น LGBTQIAN+ และ Rainbow Washing ยังทำให้คนทั่วไปที่อยากสนับสนุนคอมมูนิตี้เข้าใจผิด คิดว่าการซื้อหรือบริโภคสินค้าเหล่านั้นคือการสนับสนุนคอมมูนิตี้ ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย
เราต้องเริ่มมานั่งคิดจริงจังแล้วว่า ถ้าทางแบรนด์มีความต้องการที่จะสนับสนุน LGBTQIAN+ อย่างแท้จริง มันจำเป็นหรือเปล่าที่จะต้องทำแค่ในเดือนมิถุนายนเท่านั้น?
และหากแบรนด์ส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นพันธมิตรกับ LGBTQIAN+ เพียงแค่ 30 วันจากทั้งหมด 365 วัน จะถือว่าเป็นการสนับสนุนที่ยั่งยืนได้อย่างไร
รับฟัง Sapphicity EP.7 : Pride Month ที่ดี ต้องไม่มี Rainbow Washing ได้ทาง
YouTube: https://youtu.be/3XfxXa0VE3E
Spotify: https://spoti.fi/3axyOqp
Apple Podcasts: https://apple.co/3t6u8Oq
Sources:
- Ellison, Joy, “Recycled rhetoric: brand Israel “pinkwashing” in historical context” (2013). College of Liberal Arts & Social Sciences Theses and Dissertations. 149. (https://via.library.depaul.edu/etd/149)
- https://quitpalestine.org/pinkwashing/
- https://scholarblogs.emory.edu/queercultures101/2023/10/21/pinkwashing/
- https://filmclubthailand.com/film-news/disney-dont-say-gay/
- https://latana.com/post/why-rainbow-washing-is-bad/
- https://spectrumth.com/2021/06/03/rainbow-washing-การย้อมแมวสินค้าให้ร/
- https://themomentum.co/gender-no-more-color-washing/
- https://twitter.com/feministnhoi/status/1277089006656749568
- https://variety.com/2022/film/news/disney-pixar-same-sex-affection-censorship-dont-say-gay-bill-1235200582/
- https://variety.com/2022/tv/news/disney-lgbtq-donation-dont-say-gay-bill-1235200027/
- https://www.brandbuffet.in.th/2021/06/why-pride-month-and-strategy-lgbtqs/
- https://www.forbes.com/sites/katehardcastle/2021/06/22/proud-of-pride-or-rainbow-washinghow-do-retailers-step-up-to-the-mark/
- https://www.marketplace.org/2021/06/28/the-colorful-history-and-precarious-future-of-rainbow-washing/
- https://www.prachachat.net/d-life/news-276539
- https://www.theguardian.com/film/2022/mar/21/disney-faces-backlash-lgbtq-controversy-dont-say-gay-bill-florida
- https://www.urbandictionary.com/define.php?term=Rainbow-washing
- https://www.vam.ac.uk/articles/the-progress-pride-flag
- https://www.voicesfromfirends.org/post/selling-the-rainbow-การตลาดส-ร-ง
- https://www.wired.com/story/lgbtq-pride-consumerism/