ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ฉันได้มีโอกาสไปพัวพันครุ่นคิดในประเด็น “แรงงานไร้ค่าจ้าง” อยู่บ่อยครั้งเหลือเกิน ทั้งจากการฟังเสวนา การเตรียมตัวไปพูดบนเวทีเสวนา (อีกงาน ไม่ใช่งานเดียวกันกับที่นั่งฟัง) และจากเหตุการณ์ที่ได้รับฟังจากคนใกล้ชิด
เดิมที ความคับอกข้องใจในประเด็นดังกล่าวก็เป็นแค่ความคิดซึ่งโหวกเหวกแผดเสียงอยู่เพียงในหัว อย่างมากฉันก็แค่นัดมิตรสหายชื่อย่อ ม ด ภ ไปดื่มน้ำสมุนไพรหรือเดินเล่นย่านเมืองเก่าเพื่อพูดคุยในเรื่องที่หากพูดบนอินเทอร์เน็ตก็คงจะฟังดูเป็นพวก Killjoy—ในความหมายของ Sara Ahmed ฉันคงทำแค่นั้น…
ทว่าเมื่อฉันอ่าน “เธอเป็นลูกสาว” โดย “จิน แซ่ตั้ง” จบ ฉันก็ตัดสินใจว่าจะไม่ทำเพียงแค่คิดหรือพูด แต่ฉันจะเขียน แล้วฉันก็ส่งข้อความไปหา The Noize Magazine เพื่อขอพื้นที่เว็บไซต์มาใช้สำหรับสาธยาย (ข้อ) ความในใจโดยทันที
บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของหนังสือเรื่อง เธอเป็นลูกสาว
เรื่องย่อของหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างไร ฉันขอยกคำตอบของคุณไอดา อรุณวงศ์ (บรรณาธิการสำนักพิมพ์ อ่าน) เมื่อฉันไปขอให้เขาแนะนำหนังสือให้ฉันสักเล่มเมื่อครั้งงานหนังสือเดือนตุลาคมที่ผ่านมา—ข้อความต่อไปนี้ เป็นการบันทึกจากความทรงจำของฉัน อาจผิดเพี้ยนไปบ้าง โปรดให้อภัย
“เล่มนี้เป็นเรื่องจริง—แต่ชื่อในเรื่องเป็นนามสมมติทั้งหมดนะ เป็นเรื่องของลูกสาวที่ต้องดูแลแม่ที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม ซึ่งอาการป่วยของแม่นั้นละ ที่ทำให้ลูกสาวรู้ว่าประวัติชีวิตของแม่ รวมถึงยายที่เป็นคนจีนอพยพมันไม่ใช่อย่างที่เธอเคยเข้าใจ”
คุณไอดาขยายความประโยค “ไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจ” ไว้ว่า เมื่อไรก็ตามที่ลูกสาวในเรื่อง (ต่อไปนี้จะเรียกว่า จิน) ถามไถ่เรื่องอดีตของแม่และยาย เธอมักได้คำตอบที่คลุมเครือ จนเมื่อแม่ป่วย สมองที่ฝ่อด้วยโรคและความชราของแม่นั้นก็ทำให้แกเผยสิ่งที่อยากลืม—แต่ยากจะลืม ออกมา จินได้รู้ว่าแม่ของเธอเคยเป็นผู้หญิงในไนต์คลับ ส่วนยายก็เป็นผู้หญิงโคมแดงที่ถูกขายจากเมืองจีน ฉันตกลงซื้อหนังสือเล่มนี้มาด้วยคำขยายความข้างต้น
ก่อนจะเป็นผู้ป่วย มาม้าเคยเป็นช่างรีดผ้า
เป็นพาร์ตเนอร์นั่งดริ๊งที่ไนต์คลับ เป็นพนักงานทำความสะอาด
เป็นอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย
ด้วยความที่หนังสือเล่มนี้เป็นคล้ายๆ บันทึกของลูกสาวในช่วงเวลาราวสิบปีที่อุทิศเวลาไปกับการเป็นผู้ดูแล (Care Giver) ของแม่ที่เป็นโรคสมองเสื่อม ภาพ “มาม้า” ของจิน สำหรับคนอ่านอย่างฉันจึงเป็นคนป่วย เป็นคนหลงๆ ลืมๆ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ วันดีคือดีก็ตะโกนแหกปากร้องเพลง หรือหนักหน่อยก็หูแว่วเห็นภาพหลอนเป็นเหตุให้คนอื่นลำบากไปตามๆ กัน อีกทั้งภาพสุดท้ายที่ฉันเห็นแกก็คือสภาพผู้ป่วยนอนติดเตียง สายให้อาหารก็ใส่ไม่ได้เพราะไม่ช่วยกลืน มาม้า—คนแก่ตัวผอมหนังหุ้มกระดูกจากไปด้วยภาพนั้น
แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อหาส่วนหนึ่ง—แม้จะเป็นส่วนน้อย ก็ทำให้ฉันเห็นโดยชัดเจนว่า ภาระหน้าที่ซึ่งแฝงเร้นด้วยน้ำหนักของความกตัญญูนี้ มิได้ดำรงตนเป็น “ภาระ” มาแต่แรก หากแต่เป็นผู้หญิงจีนอพยพคนหนึ่งก็เคยรับ “ภาระ” ของคนอื่นไว้ในนามของอาชีพที่หล่อนทำ
ฉันได้ยินได้เห็นอยู่บ่อยครั้งจนจำไม่ได้ว่าเป็นใครที่พูดไว้ แต่เป็นประโยคในทำนองว่า เวลาของคนรวยน่ะมีค่ามาก พวกเขาถึงต้องนั่งเครื่องบินส่วนตัวจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการรอขึ้นเครื่องหรือตารางการบินที่ไม่ลงตัวเหมาะเจาะกับงานที่ไปทำ—เวลาเป็นเงินเป็นทองของแท้
อย่างนั้นลองคิดดูว่าถ้าบรรดาผู้บริหารบริษัทหมื่นล้านแสนล้านต้องสละเวลาทำงานมานั่งรีดผ้าให้เรียบเนี้ยบ เวลาที่เสียไปนั้นจะนับเป็นมูลค่าสักกี่แสนกี่ล้าน แล้วถ้าเป็นทั้งตัวผู้บริหาร รวมถึงพนักงานทุกคนด้วยล่ะ ถ้าทุกคนต้องรีดผ้า มูลค่าของเวลาพวกนั้นจะนับเป็นเท่าไร ฉันเองก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือมีคนที่คอยรับหน้าที่นี้แทน และมาม้า—ก่อนที่จะกลายเป็นผู้ป่วย ก็เคยทำอาชีพนี้
“โชคดีที่แม่มีฝีมือเรื่องซักรีดเสื้อผ้า แม่รีดเสื้อได้เนี้ยบจนลูกค้าชม จึงมีคนจ้างอย่างต่อเนื่อง” —จากหน้า 51
นอกจากเรื่องเสื้อผ้าที่ว่ากันว่าเป็นของนอกกาย ของในกายอย่างอารมณ์เปลี่ยวเหงาหรืออยากเอา ก็เป็นอีกภาระของสังคมที่คนอย่างมาม้าเคยรับหน้าที่จัดการให้
“มาม้าเคยถูกผ่อพ้อบังคับให้ทำงานเป็นพาร์ตเนอร์นั่งชั่วโมงที่โลลิต้าไนต์คลับเพื่อหาเงินส่งอายี้เรียนหนังสือและช่วยค่าใช้จ่ายในบ้าน” —จากหน้า 53
และถ้าหากคุณผู้อ่านจะบอกว่า ผม/ฉัน/เรา ไม่ซื้อเสื้อผ้าที่ต้องรีด เน้นสะบัดๆ แล้วใส่ได้เลย และไม่สนจะจับจ่ายบริการจากบรรดาอาชีพผู้ให้บริการทางเพศด้วย อย่างนั้น ความสะอาดของสถานที่ล่ะ เราจะพูดได้เต็มปากไหมว่าหากไม่มีบรรดาพ่อบ้าน แม่บ้าน พนักงานเก็บขยะและกวาดถนน แล้วเราหรือสังคมหรือระบบทุนนิยมอันเป็นที่รัก—ประชดค่ะ มันจะยังดำรงอยู่ได้
Tithi Bhattacharya นักกิจกรรมและอาจารย์ผู้เป็นบรรณาธิการของหนังสือ Social Reproduction Theory: Remapping Class, Recentering Oppression เคยให้สัมภาษณ์ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดไว้ว่า
Right now when we are under lockdown, nobody is saying, “We need stockbrokers and investment bankers! Let’s keep those services open!” They are saying, “Let’s keep nurses working, cleaners working, garbage removal services open, food production ongoing.” Food, fuel, shelter, cleaning: these are the “essential services.”
สรุปความอย่างลาดิดก็คือ ในช่วงล็อกดาวน์เราจะได้เห็นว่าแรงงานด้านไหนที่มอบ “บริการที่จำเป็น (ต่อการดำรงอยู่ของสังคม) จริงๆ” ไม่ใช่นายหน้าค้าหุ้นหรือที่ปรึกษาด้านการลงทุนหรอกที่เราจะบอกให้ทำงานต่อ แต่เป็น พยาบาล พนักงานทำความสะอาด พนักงานเก็บขยะ และแรงงานในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร ต่างหาก ที่เป็นกลุ่มแรงงานซึ่งเราจะเรียกร้องอ้อนวอน (หรือบังคับ) ให้พวกเขาอย่าหยุดทำหน้าที่ของตน
(น่าหดหู่ที่อาชีพที่ว่ามานั้นก็มักจะได้ค่าตอบแทนน้อยเหลือเกิน)
มาม้า—ก่อนที่จะกลายเป็นผู้ป่วย ก็เคยทำอาชีพที่แสนจะจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของสังคมอย่าง พนักงานทำความสะอาด อีกเหมือนกัน
และไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่แค่อาชีพในตลาดแรงงานที่ได้เงิน (ซึ่งก็น้อยไม่สมความเหนื่อย) เป็นค่าจ้าง แต่งานที่ไม่ถูกนับเป็นงาน ทั้งยังไม่ได้ค่าแรง งานที่หากถูกถามว่าทำงานอะไรก็จะต้องตอบว่า ว่างงาน ทั้งที่จริง เวลาทั้งวันนั้นไม่เคยว่าง (จากงาน) มาม้า—ก่อนที่จะกลายเป็นผู้ป่วย ก็ทำ
“แม่มีหน้าที่ดูแลเลี้ยงดูลูกและหลานๆ และทำงานบ้านทั้งหมด ส่วนน้าก็คอยติดตามน้าเขยไปประเทศต่างๆ … เพื่อดูกิจการฟาร์มเลี้ยงและผลิตอาหารสัตว์แต่ละที่” —จากหน้า 60
ดังนั้น เราก็คงกล่าวกันได้ว่า นอกจากจะทำงาน (ที่อาจถูกมองว่า) เล็กๆ แรงงานที่ชื่อมาม้าของจินก็ยังทำการ (ที่ว่ากันว่า) ใหญ่โตอย่างกิจการฟาร์มและอาหารสัตว์อีกด้วย เพราะหากไม่มีคนดูลูก ดูบ้าน เจ้าของกิจการจะเอาปัญญาที่ไหนไปดูงานล่ะ จริงไหม
จากทั้งหมดที่ว่ามา เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าแรงงานคนนี้ก็เคยให้ “คุณ” กับสังคม ทว่าเมื่อแรงงานคนนี้ หรือพูดอย่างเปรียบเทียบก็คือ ฟันเฟืองตัวนี้เกิดเสียและกระเด้งหลุดออกจากเครื่องจักร เหตุใดมันจึงเป็น “ภาระ” ส่วนตัวของลูกหลานไปเสียอย่างนั้น
สังคมล่ะให้อะไรและอยู่ตรงไหนในสมการแห่งภาระหน้าที่นี้ และยิ่ง “ภาระ” ที่ว่านี้มิได้มีสัญชาติไทย… ฉันคงไม่ต้องพูดต่อ สื่อ สำนักข่าว และเสียงในอินเทอร์เน็ตคงให้คำตอบคุณแล้ว
เมื่อมาม้ากลายเป็นผู้ป่วย จิน แซ่ตั้ง ก็กลายเป็น “ลูกสาวเต็มเวลา”
“แต่เมื่อแม่อาการไม่ดีขึ้น … ฉันก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากลาออกจากงานเพื่อมาดูแลแม่อย่างใกล้ชิด” —จากหน้า 88
จำได้ว่าเมื่ออ่านถึงบรรทัดนี้ ฉันถอนหายใจออกมาหนักมาก
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ฉันเพิ่งได้ฟังเสวนาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำงานบ้านและความเท่าเทียมทางเพศ ไม่รู้ว่าด้วยความบังเอิญหรือด้วยเหตุว่าถ้าดูหรืออ่านเรื่องผู้หญิง ยังไงมันก็ไม่มีวันพ้นไปจากเรื่องงานบ้านและงานดูแล ทุกสิ่งที่ฉันได้ฟังในงานวันนั้นมันลงล็อกราวจับวางกับหนังสือเล่มนี้
และแม้ว่าในบทความนี้ ฉันจะไม่ได้พูดถึงเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ เพราะจินดันไม่มีพี่หรือน้องชายให้ฉันเขียนถึง (เอาจริงก็มีตัวเปรียบเทียบอย่างบรรดาคุณตาและคุณพ่อให้ถกกันอยู่นะ แต่ขออนุญาตข้าม ไม่งั้นบทความคงไม่จบ) แต่เรื่องของการที่ “ผู้หญิง” ต้องออกจากตลาดแรงงานมาเพื่อทำงานดูแลซึ่งไม่ได้ค่าแรง ในส่วนนี้เราจะมาว่ากัน
มีทฤษฎีหนึ่งที่ฉันเห็นว่าเหมาะจะเอามาเชื่อมโยงกับสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดต่อไปนี้ นั่นก็คือ Social Reproduction Theory ที่อธิบายอย่างย่นย่อและบ้านๆ ตามปัญญาลาดิดก็คือ ทฤษฎีที่ชวนให้เรามองไปถึงกิจกรรมหรือสิ่งใดก็ตามที่จำเป็นต่อการสร้างแรงงาน ประมาณว่า ถ้าแรงงานสร้างชาติ แล้วใคร (หรืออะไร) กันล่ะที่สร้างแรงงาน
จินเคยทำงานประจำอยู่หลายงาน กระทั่งเมื่อแม่ป่วยหนักในขั้นที่จำเป็นต้องมีผู้ดูแลตลอดเวลา เธอก็ต้องลาออกจากงานประจำ แล้วมารับทำงานเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเฝ้าแม่ (ซึ่งก็เป็นไปได้อย่างยากลำบาก เพราะแม่ที่ป่วยนั้น เดี๋ยวก็ร้องเอะอะ เดี๋ยวก็ขับถ่าย เดี๋ยวก็ต้องกินข้าว เวลาจะนั่งทำงานยาวๆ นั้นแทบไม่มี) โดยมี นุ้ย น้องสาวของจินช่วยรับผิดชอบในส่วนค่าใช้จ่าย
ข้อความสรุปข้างต้นนั้นชวนให้ฉันจับตัวละครแต่ละตัวแยก แล้วนำมาประกอบเข้ากับ Social Reproduction เพราะมันช่างครบถ้วนเสียเหลือเกิน
Tithi Bhattacharya คนดีคนเดิมให้คำตอบไว้ว่า สิ่งที่สร้างแรงงาน (แรงงาน ที่ไม่ใช่แค่คำนามซึ่งหมายถึงผู้คนที่ทำงาน แต่หมายถึง แรงและความสามารถ ที่ผู้คนจะใช้ไปเพื่องาน) มีอยู่หลักๆ ด้วยกัน 3 ประการ
1. กิจกรรมที่ทำให้แรงงานสามารถฟื้นฟูตัวเองหลังเวลาเลิกงาน เพื่อให้สามารถกลับไปทำงานได้อีกครั้ง อย่างการกิน การนอน รวมไปถึงการซัพพอร์ตทางจิตใจ
2. กิจกรรมที่รักษาและฟื้นฟูบรรดาผู้ที่ไม่ใช่แรงงาน อย่างเด็กๆ ที่กำลังจะเติบโตไปเป็นแรงงาน รวมถึงคนที่เคยเป็นแรงงานแต่ไม่ได้เป็นแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านการทุพพลภาพ ความชรา หรือการว่างงานก็ตาม
3. การผลิตแรงงานคนใหม่ ซึ่งก็หมายถึงการตั้งครรภ์และคลอดบุตร
สังคมนี้จะสร้างแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าสังคมสามารถสร้าง สนับสนุน และค้ำชู 3 ประเด็นข้างต้นนั้นได้หรือเปล่า ที่สำคัญคือ 3 ประเด็นที่ว่านั้นไม่ได้ตั้งอยู่เดี่ยวๆ หากแต่มีความเชื่อมโยงกันอย่างไม่อาจแยกได้
ทำไมคนอย่างมาม้าที่ก็เคยเป็นแรงงานถึงกลายเป็นภาระอันหนักหน่วงของลูกสาว นั่นอาจเพราะสังคมไม่สามารถให้โอกาสทางการศึกษากับชาวจีนอพยพคนนี้ และต่อมา เมื่อเธอเป็นแรงงาน สังคมก็ไม่มีปัญญาให้ค่าจ้างที่มากพอ ที่เธอจะเก็บออมไว้ดูแลรักษาตัวเองในยามที่กลายเป็นอดีตแรงงาน รวมถึงไม่มีสวัสดิการสำหรับรักษาและฟื้นฟูเพื่อให้วงจรภาระความเจ็บป่วยนี้จบลงที่ตัวเธอเอง
ทำไมคนที่ยังอยู่ในวัยทำงาน ยังมีความสามารถจะสร้างงานอย่างจินจึงต้องออกมาดูแลแม่ ในช่วงแรก จินก็พยายามจะทำงานนอกบ้านไปพร้อมกับงานดูแลในบ้าน เรียกได้ว่าเธอแทบจะทำงาน 24 ชั่วโมง และกระทั่งในตอนที่เธอจำต้องลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์นั่งทำงานอยู่ข้างแม่ สังคมก็ยังไม่สามารถให้โอกาสแรงงานคนนี้พักผ่อนเพื่อฟื้นฟูตัวเอง เธอเริ่มมีอาการป่วยออดๆ แอดๆ ปวดหัวไมเกรน และปวดไหล่ปวดหลังอยู่เรื่อยๆ ซึ่งหากเราลองนึกไปให้ไกลกว่านี้ ไกลกว่าสิ่งที่จินเขียนไว้ หากว่าจินยังต้องทำงานที่ได้ค่าแรงไม่มาก ทั้งยังต้องเอาเงินไปใช้กับการดูแลรักษาแม่ที่ไม่ได้มีสิทธิรักษาอย่างคนสัญชาติไทย เมื่อถึงวันที่ฟันเฟืองที่ชื่อจินนี้ต้องกระเด้งหลุดจากตลาดแรงงาน เธอจะอยู่ด้วยเงินและการดูแลของใคร—สังคมจะผลักให้เป็นเรื่องส่วนตัวของเธออีกหรือเปล่า
แล้วนุ้ยล่ะ น้องสาวของจินที่ก็มาช่วยแบ่งเบาภาระด้านค่าใช้จ่าย เธอได้รับค่าแรงมากพอจะพักผ่อนฟื้นฟูในวงจรการทำงานไหม และมากพอจะใช้สำหรับเก็บออมเผื่อวันที่เธอกลายเป็นเป็นอดีตแรงงานไหม
จากทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา ฉันเดาเอาเองว่ามันอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จินถึงกับคิดกับตัวเองว่า
”ฉันดีใจที่ตัวเองไม่มีลูก โดยเฉพาะไม่มีลูกสาว จึงไม่ต้องส่งต่อความเหน็ดเหนื่อยของลูกผู้หญิงไปอีกรุ่น” —จากหน้า 179
และนี่ไม่ใช่หรือ หลักฐานอันตำตาว่าสังคมนี้ทำ 3 ข้อนั้นไม่สำเร็จสักประการ—ห่วยแตกฉิบหายเลย
ไอ้หมอนี่มันกวนตีน!
หากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ คุณจะพบว่าหนึ่งในแรงงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่หน้าแรกไปยันหน้าท้ายๆ ก็คือบรรดาแพทย์ทั้งหลายที่แวะเวียนกันมาสร้างความอึดอัดใจให้คนอ่าน ไม่ว่าจะอึดอัดในการรักษาของแพทย์ อึดอัดในอาการของผู้ป่วย อึดอัดในสิ่งที่จินในฐานะผู้ดูแลต้องทำ หรือกระทั่งอึดอัดในความคิดที่จินมีกับระบบการรักษาก็ตาม
หมออารมณ์เหวี่ยง หน้าบูด ไม่รับฟัง ให้ยาไม่แจ้งผลข้างเคียง และอื่นๆ อีกมากมายที่จินว่าไว้ในหนังสือ แน่นอนว่าหมอที่เอาใจใส่ วินิจฉัยและรักษาอย่างถ้วนถี่นั้นจินก็พูดถึง แต่ฉันไม่ได้จะมาขยายความดีความเลวของหมอกันในบทความนี้ เพราะฉันไม่ได้อยู่ในห้องตรวจและคงไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใคร
ยังจำ 3 ประเด็นในหัวข้อที่แล้วได้ใช่ไหม การทำงานผิดพลาด อารมณ์ขุ่นเคือง รวมไปถึงความรุนแรง (ทั้งในที่ทำงานและในครอบครัว) นี่ละ คืออีกผลจากการที่สังคมยังไม่ประสบความสำเร็จในฐานะผู้สร้างแรงงาน
ต้องขอออกตัวก่อนว่าฉันนั้นเคยเรียนแพทย์ และหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ฉันอยู่กับอาชีพนี้ไม่ได้ก็คือ งานมันเรียกร้องให้เราเข้าใจมนุษย์ แต่ระบบมันไม่เคยปฏิบัติต่อเราอย่างมนุษย์ มนุษย์ที่ไหนถูกเรียกร้องให้ทำงานซึ่งต้องใช้สติสัมปชัญญะและปัญญาขั้นสุดเป็นเวลาติดต่อกัน 36 ชั่วโมง พัก 8 ชั่วโมง จากนั้นก็ต้องกลับมาทำงานใหม่ และถ้าหากเราพลาด นั่นอาจหมายถึงชีวิตมนุษย์อีกคน
หากเราพลาด…นั่นอาจหมายถึงคุณภาพชีวิตของมนุษย์ที่คือมาม้าของจิน
ดังนั้น เราอาจพูดได้ไหมว่าการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แรงงานแต่ละคน (แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่หมอ) จะส่งผลไม่ใช่เพียงต่อตัวเขาเอง แต่รวมไปถึงแรงงานคนอื่นที่บังเอิญเข้ามารับบริการจากแรงงานคนนั้น
นอกจากนั้นก็ยังรวมไปถึงครอบครัวที่ก็เป็นหนึ่งในผู้เยียวยาดูแลให้แรงงานคนนั้นพร้อมสำหรับการทำงานในวันถัดไป
มีบทความและงานวิจัยมากมายที่นำเสนอว่าความยากจนหรือคุณภาพชีวิตที่ต่ำ มีผลทำให้ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้น โดยหนึ่งในการศึกษานั้นคือ Poverty, social inequality and domestic abuse: The impact on children โดย Valeria Skafida ชี้ให้เห็นว่าแม่ในบ้านที่มีรายได้ต่ำที่สุดนั้นเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัวมากที่สุด
และนี่ก็อาจเป็นอีกเหตุผลที่ว่าทำไมรัฐ สังคม ผู้มีอำนาจออกกฎหมายจึงควรให้ความสำคัญกับการสร้างแรงงาน
เพราะ จิน แซ่ตั้ง ไม่ได้มีคนเดียว
หากว่าคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังคิดว่าไอ้หนังสือปกแดงนี่แม่งก็เป็นแค่เรื่องส่วนตัวของลูกสาวชาวชายขอบที่ไม่มีความพยายามมากพอ อย่างนั้นก็เรื่องของคุณแล้วค่ะ จบ! หยอกๆ อย่างนั้นฉันจะขอยกตัวเลขที่น่าสนใจ (และน่ากลัวไม่น้อย) มาว่าต่อ
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติแสดงให้เห็นว่า ในปี พ.ศ. 2567 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) เป็นจำนวน 14.16 ล้านคน (20.2%) ในจำนวนนั้นมีผู้สูงอายุที่ยังทำงาน 5.26 ล้านคน (37.2%) แปลว่ามีผู้สูงอายุที่เป็นอดีตแรงงานจำนาน 8.9 ล้านคน และอย่างที่เราทราบกันดี ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ผู้สูงอายุนี้มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จะมีแรงอีกจำนวนมากที่ต้องใช้ไปกับการดูแล แล้วแรงเหล่านั้นมาจากไหน ก็มาจากบรรดาแรงงานที่เคยทุ่มแรงให้กับงานซึ่งสร้างชาตินี่ไงล่ะ
ดังนั้น หากสังคมยังปล่อยให้หน้าที่การดูแลอดีตแรงงาน เป็นเรื่องส่วนตัวของแรงงาน ทั้งยังกลบเกลื่อนความห่วยแตกของระบบสวัสดิการกับค่าแรงด้วยคำสั้นๆ แต่ความหมายสุดกินใจอย่าง “ลูกกตัญญู” หนำซ้ำยังไม่ยี่หระกับการดูแลฟูมฟักอนาคตแรงงาน ยังปล่อยให้ความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้นซ้ำๆ จากความยากจนและคุณภาพชีวิตที่ต่ำทราม…แล้วเราจะไปหาแรงที่ไหนมาสร้างงาน
มาม้าชอบกินแคลิฟอร์เนียโรลและราดหน้า แล้วจินล่ะ
ในช่วงท้ายของเล่ม เมื่อมาม้าจากไป ฉันพบว่าฉันมองเห็นจินที่เป็นจินมากขึ้น ฉันได้เห็นการใช้ชีวิตของเธอ เห็นปฏิสัมพันธ์ที่เธอมีต่อคนอื่นที่ไม่ใช่หมอ ไม่ใช่บรรดาคนที่มีส่วนในการดูแลมาม้า
ฉันนึกถึงคนคนหนึ่ง ซึ่งก็อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันนัก แต่ฉันก็อยากจะเขียนเก็บไว้ คนคนนั้นคืออาม่าของฉันเอง
บ้านฝั่งป๊าของฉันนั้นก็เป็นระบบกงสี และอาม่าของฉัน หลังจากแต่งงานกับอากง แกก็เลิกเป็นแรงงานรับค่าจ้าง มาเป็นแม่ (ของทั้งลูกและ) บ้านเต็มเวลา ในช่วงที่อากงยังมีชีวิตอยู่ ตัวตนของอาม่าจางมากๆ สำหรับหลานอย่างฉัน ฉันไม่เคยเห็นอาม่าไปเที่ยว ไม่เคยรู้ว่าอาม่าชอบทำอะไร หรือเป็นเพื่อนกับใคร ภาพของอาม่านั้นมีอยู่แต่ในครัว กลิ่นเหงื่อของอาม่านั้นก็มีแต่กลิ่นควันจากเตาอั้งโล่ คำบรรยายสำหรับอาม่าจะมีเพียงเท่านี้
แต่เมื่ออากงเสีย ชีวิตของอาม่าก็ครบถ้วนขึ้น ที่ฉันให้คำว่าครบถ้วนเพราะไม่มีทางที่คนคนหนึ่งจะอาศัยอยู่เพียงแค่ในครัว—ไม่ มี ทาง ฉันได้เห็นว่าอาม่ากล้าที่จะเอาเงินไปเที่ยว เห็นอาม่าออกจากบ้านไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อน เห็นอาม่าเป็นอาม่าที่เต็มคน ไม่ใช่เพียงเศษคนที่ปรากฏขึ้นแต่ในครัว
อาม่าของฉัน แม่ของบรรดาลูกๆ และเมียของอากง ได้กลับมาเป็นคุณไน้ ฉันก็หวังว่าท้ายที่สุด หลังจากพ้นวาระของการเป็นลูกสาว เป็นผู้ดูแล จิน แซ่ตั้ง จะได้กลับมาเป็นจิน และได้เล่าเรื่องราวของตนอย่างเต็มตน
เธอเป็นลูกสาว โดย จิน แซ่ตั้ง
ผู้เขียน: จิน แซ่ตั้ง
สำนักพิมพ์: อ่าน
จำนวนหน้า: 256 หน้า
ISBN: 978-616-8300-13-8
Resources:
- จิน แซ่ตั้ง. (2567). เธอเป็นลูกสาว. อ่าน.
- สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2568). สรุปผลที่สำคัญ การทำงานของผู้สูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2567. https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/survey_detail/2025/20250327140934_65830.pdf
- Sarah Jaffe. (2020, April 2). Social Reproduction and the Pandemic, with Tithi Bhattacharya. Dissent. https://dissentmagazine.org/online_articles/social-reproduction-and-the-pandemic-with-tithi-bhattacharya/
- Skafida, V. (2023) Poverty, social inequality and domestic abuse: The impact on children. Implications for Social Work Practice. Birmingham: BASW.
- Tithi Bhattacharya. (2013, September 10). What is Social Reproduction Theory. Socialist Worker. https://socialistworker.org/2013/09/10/what-is-social-reproduction-theory