Jojo Rabbit กับ 10 สิ่งที่คุณอาจจะยังไม่รู้

เมื่อปี 2020 หลายๆ คนอาจจะเคยได้รับชมภาพยนตร์ Jojo Rabbit ผลงานใหม่ที่ได้รางวัลออสการ์สาขา Best Adapted Screenplay จากฝีมือผู้กำกับ Taika Waititi มาแล้ว ที่ได้นักแสดงเด็กหน้าใหม่อย่าง Roman Griffin Davis มาประกบคู่กับ Thomasin McKenzie จาก Leave No Trace รวมไปถึงนักแสดงเจ้าบทบาทอย่าง Scarlett Johansson มาร่วมด้วย ก็ต้องบอกว่าฝีไม้ลายมือนั้น เด็ดขาดกันสุดๆ

แม้ว่าตัวอย่างที่ปล่อยออกมานั้น จะเต็มไปด้วยความตลกที่แฝงไปด้วยการเสียดสี แต่ก็ต้องบอกว่า Jojo Rabbit เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่สองผ่านมุมมองของ โจโจ้ เด็กชายชาวเยอรมันวัย 10 ปี ที่มีฮิตเลอร์เป็นเพื่อนในจินตนาการ เขาเข้าร่วมค่ายยุวชนนาซีในช่วงสุดสัปดาห์ และหลังจากนั้น เขาบังเอิญพบกับเด็กหญิงชาวยิวที่แม่ของเขาพามาซ่อนตัวไว้ในบ้าน ทำให้เรื่องราวต่างๆ กลับกลายเป็นเรื่องชุลมุน

แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านั้นอาจจะไม่หยุดแค่เท่านี้ วันนี้เราก็จะพาทุกคนไปดูกันกับ 10 สิ่งที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ตามกันมาเลย

Jojo Rabbit ดัดแปลงมาจากนิยาย

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีพื้นฐานมาจากนวนิยายเรื่อง “Caging Skies” โดย Christine Leunens นิยายเรื่องนี้เล่าถึง เด็กชายชาวเยอรมันที่มีฮิตเลอร์เป็นเพื่อนในจินตนาการ และได้ค้นพบว่าแม่ของเขาซ่อนเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้ในบ้าน แต่เนื้อเรื่องดั้งเดิมนั้นค่อนข้างดาร์คและขาดความตลก ไทก้าจึงตัดสินใจดัดแปลงเนื้อหาบางส่วนให้ออกมาในรูปแบบของตัวเองและบอกเล่าเรื่องราวด้วยวิธีที่ไม่เหมือนใคร

All About Rosie

สการ์เล็ตจากบันทึก Production Notes ของ Jojo Rabbit นั้น เธอบอกเอาไว้ว่า “สิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับโรซี่ก็คือเธอเป็นคนที่มีจินตนาการที่ค่อนข้างจะโรแมนติก ในขณะเดียวกันเธอยังเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านความรุนแรง เธอเป็นผู้หญิงที่มีหัวสมัยใหม่ ตัวละครของเธอนั้นเป็นตัวละครที่เป็นดั่งแสงสว่างในเวลาที่มืดมนนี้ ทันทีที่ได้อ่านบทฉันก็บอกกับตัวเองว่าฉันต้องการบทนี้”

ทั้งสการ์เล็ตและไทก้าได้พูดคุยกันถึงเรื่องราวของคุณแม่อย่างโรซี่ พยายามทำให้มันบาลานซ์กันกับการใช้ชีวิตของเธอและความจริงที่เธอเป็นโดย ที่เธอพยายามทำให้โจโจ้ ลูกชายของเธอปลอดภัย และให้อยู่ห่างจากอันตราย

ทุกๆ คนในกองมองเห็นสายสัมพันธ์ระหว่างสการ์เล็ตและน้องโรมัน พวกเขาบอกว่าสการ์เล็ตรักน้องโรมันมาก และตัวน้องโรมันเองก็รักสการ์เล็ตมากเช่นกัน นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาพบเห็นได้ตั้งแต่วันแรกของการทำงาน

ตามหาผู้รับบท Jojo

จริงๆ แล้ว หนุ่มน้อย Roman Griffin Davis มีแพลนที่จะออดิชั่นบทใน Ford v Ferrari แต่หลังจากได้ยินข่าวการออดิชั่นของบทโจโจ้ โรมันก็ได้เริ่มต้นทำการออดิชั่นครั้งแรกของเขากับ Taika Waititi ผ่าน video call สถานการณ์ในตอนนั้นค่อยข้างกระอักกระอ่วน แต่นั่นทำให้ไทก้าตัดสินใจได้ว่าเขาได้เจอเด็กที่เหมาะสมกับงานนี้แล้ว

การสร้างคาแรคเตอร์ของ Elsa

หนึ่งในตัวละครสำคัญในภาพยนตร์ เด็กสาวชาวยิวที่ถูกช่วยเหลือโดยแม่ของโจโจ้ รับบทโดย Thomasin McKenzie ซึ่งเธอก็ได้ทำการพิสูจน์แล้วว่าเธอคือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับบทบาทนี้

โทมาซินใช้เวลาในการศึกษาบทบาทนี้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการค้นคว้าและทำความเข้าใจในเรื่องของ Holocaust และการศึกษาจากภาพยนตร์ Schindler’s List

เธอไม่ต้องการให้คาแรคเตอร์ของเอลซ่าเป็นแค่เหยื่อของช่วงเวลาอันเลวร้ายนี้ เธอต้องการให้ตัวละครนี้แสดงออกถึงความแข็งแกร่ง และเป็นอิสระ นอกจากนี้ไทก้ายังแนะนำให้เธอดูหนังอย่าง Mean Girls และ Heathers เพื่อที่เธอจะได้ระลึกไว้เสมอว่า Elsa นั้นเป็นเพียงเด็กนักเรียนมัธยมปลายที่ยอดเยี่ยมคนนึง

ฮิตเลอร์ในมุมมองของโจโจ้

ไทก้าตระหนักดีถึงความเสี่ยงของการวาดภาพฮิตเลอร์ออกมาในลักษณะที่โง่เง่า เพราะอาจจะทำให้มุมมองความชั่วร้ายที่แท้จริงของฮิตเลอร์ถูกลดทอนลง

แต่ฮิตเลอร์ในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพียงเพื่อนในจินตนาการของ Jojo ดังนั้นเขาจึงเป็นแค่ฮิตเลอร์ที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งสามาถจะจินตนาการได้ นอกจากนี้เขายังชี้ให้เห็นว่าฮิตเลอร์นั้นเป็นการรวมตัวของผู้คนต่างๆ ในชีวิตของเขา เช่น พ่อของพวกนาซีในเมืองและแม้แต่เพื่อนของยอร์ค

แรงบันดาลใจของ Sam Rockwell

Sam Rockwell สานต่อการแสดงที่ยอดเยี่ยมของเขาในภาพยนตร์ระดับสูงพร้อมบทบาทของ Supporting Actor ที่ยอดเยี่ยมใน Jojo Rabbit แซมรับบทกัปตัน Klenzendorf ผู้นำของกลุ่มฮิตเลอร์ เขาเป็นอดีตทหารที่ถูกส่งตัวกลับบ้านหลังได้รับบาดเจ็บและสูญเสียดวงตาไปในสนามรบ

แซมทำการศึกษาภาพยนตร์และการแสดงของนักแสดงหลายคนที่รับบทเป็นนาซีรวมถึงการแสดงของ Ralph Fiennes ใน Schindler’s List ในท้ายที่สุดเขาเลือกการแสดงของ Bill Murray มาเป็นแรงบันดาลใจในการแสดงบทบาททหารนาซีผู้น่าเศร้านี้

การเปลี่ยนแปลงความเกลียดชัง

ในขณะที่ถ่ายทำภาพยนตร์ได้มีการเซ็ทฉากต่างๆ ให้อยู่ในช่วงของนาซีเยอรมัน ไทก้ายอมรับว่าการวาดภาพฮิตเลอร์นั้นทำให้เขารู้สึกอึดอัดในช่วงแรก แต่ในที่สุดเขาก็รู้สึกว่ามีพลังในการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของความเกลียดชัง

หลายคนวิพากย์วิจารณ์ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาที่เบาเกินไป ถึงอย่างนั้นไทก้าก็ยืนยันที่จะใช้ความตลกเป็นอาวุธต่อต้านพวกนาซี เขาพยายามใช้ประวัติศาสตร์ที่น่ากลัวนี้บอกเล่าถึงเรื่องราวของความรักและความเข้าใจ

การรับบทเป็นฮิตเลอร์

หนึ่งในสิ่งที่เป็นที่น่าจดจำของหนังเรื่องนี้คือเพื่อนในจินตนาการของโจโจ้อย่าง Adolf Hitler ที่นำแสดงโดยตัวของไทก้าเองนั้น เขาตั้งใจที่จะแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของฮิตเลอร์ในสายตาของเด็กๆ ซึ่งบางครั้งมันก็ดูโง่ แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าการกำกับภาพยนตร์ในขณะที่แต่งตัวเหมือนฮิตเลอร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป เขาคิดว่าความคิดของชายชาว Polynesian Jewish ที่เล่นบทฮิตเลอร์นั้นถือเป็นการดูถูกที่สมบูรณ์แบบสำหรับฮิตเลอร์

จดหมายรัก

นอกเหนือจากความเป็นภาพยนตร์แล้ว ไทก้าอธิบายว่าหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนกับจดหมายบอกรักที่ส่งต่อไปถึงคนที่เป็นพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว เช่นเดียวกันกับแม่ของเขาที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกๆ สิ่งนี้มีอยู่ในตัวของ Rosie แม่ของหนูน้อยโจโจ้ รับบทโดย Scarlett Johansson เธอเป็นคนจิตใจดี มีเมตตาและคอยห่วงใยลูกชายอยู่เสมอ แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยกับการเกลียดชังที่ลูกชายของเธอได้รับอิทธิพลมา อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้บังคับให้เขาเลิกทำตัวแบบนี้ เพราะเธอรู้ดีว่าการแสดงตัวเป็นพวกนาซีนั้นจะทำให้เขาปลอดภัยขึ้น

โทนสีที่ให้ความรู้สึกอ่อนเยาว์

ในขณะที่โทนสีในเรื่อง Jojo Rabbit มีความสดใสซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเหมาะกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องฮิตเลอร์และนาซีเยอรมันเท่าไหร่นัก แต่เพราะสีสันเหล่านั้นถูกมองผ่านมุมมองของเด็กชายที่มีอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น

อย่างไรก็ตามไทก้า ยังต้องการรักษาโทนสีเหล่านี้ไว้เพื่อให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถเข้าถึงผู้ชมอายุน้อยได้ แม้จะมีบางฉากที่ดุเดือด เขาเพียงต้องการให้เด็กๆ ที่มีโอกาสได้ชม Jojo Rabbit ได้รับแง่คิดดีๆ จากภาพยนตร์เรื่องนี้

คุณสามารถรับชม Jojo Rabbit ได้ทาง Disney+ Hotstar