Sapphicity EP.2 SOGIESC คืออะไร? ชวนทำความรู้จักแว่นขยายที่จะทำให้เข้าใจเรื่องเพศได้ดีขึ้น

| | ,

เคยสงสัยบ้างไหนว่าทำไมนิยามทางเพศจึงกลายเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ คน แต่ในเมื่อคุณคลิกเข้ามาอ่านบทความนี้แล้ว เราจะชวนทุกคนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือตัวหนึ่ง ที่จะเข้ามาช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศให้มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว เครื่องมือตัวนี้ถือเป็นตัวช่วยในการทำความเข้าใจตัวเองได้ดียิ่งขึ้นด้วย วันนี้ Sapphicity อยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ SOGIESC แว่นขยายที่จะช่วยคุณทำความรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับตัวเองมากยิ่งขึ้น รวมถึงพาไปพูดคุยกับเรื่องของ Pronouns หรือสรรพนามที่หลายๆ คนตอนนี้กำลังใช้กัน มันคืออะไร? แล้วเราจำเป็นต้องทำบ้างหรือไม่?

SOGIESC คืออะไร?

SOGIESC คือ เครื่องมือที่จะช่วยให้เข้าใจในความหลากหลายทางเพศได้มากยิ่งขึ้น เข้าใจว่าในแต่ละตัวอักษา มีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด เราควรที่จะต้องแยกและทำความเข้าใจอย่างไรได้บ้าง ซึ่งเครื่องมือตัวนี้ถือเป็นแว่นขยายที่จะช่วยสร้างการตระหนักรู้ได้อย่างดี และช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย

  • SO – Sexual Orientation: รสนิยมทางเพศ หรือเพศวิถี หรือแรงดึงดูดทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นแรงดึงดูดต่อเพศตรงข้าม เพศเดียวกัน รักต่างเพศ เช่น เกย์, เลสเบี้ยน, ไบเซ็กชวล, แพนเซ็กชวล เดมิเซ็กชวล, เอเซ็กชวล ฯลฯ ซึ่งนอกเหนือจากรสนิยมทางเพศแล้ว ยังรวมไปถึง RO หรือ Romantic Orientation ด้วยนั่นเอง และที่สำคัญเลยก็คือ รสนิยมทางเพศไม่ขึ้นอยู่กับอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลนั้นๆ
  • RO – Romantic Orientation: รสนิยมทางจิตใจ หรือรสนิยมรักโรแมนติก หรือแรงดึงดูดทางใจ ในส่วนนี้จะถูกซ่อนอยู่ใต้ SO นั่นหมายความว่า เราจะเป็นที่จะต้องแยกระหว่างแรงดึงดูดทางเพศและแรงดึงดูดทางใจด้วย ไม่ว่าจะเป็น เฮเทอโรแมนติก (Heteromantic), โฮโมโรแมนติก (Homoromantic), ไบโรแมนติก (Biromantic), เดมิโรแมนติก (Demiromantic), เอโรแมนติก (Aromantic) เป็นต้น รสนิยมทางจิตใจไม่ขึ้นอยู่กับอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลนั้นๆ
  • GI – Gender Identity: อัตลักษณ์ทางเพศ หมายถึง สำนึกทางเพศของแต่ละบุคคลที่เกี่ยวกับการระบุถึงเพศของตัวเอง เช่น ชาย หญิง Intersex เจนเดอร์เควียร์ นอนไบนารี่ เป็นต้น ซึ่งอัตลักษณ์ทางเพศล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องส่วนบุคคล และบุคคลนั้นๆ จะเป็นผู้ระบุตนเองเท่านั้น บุคคลนั้นรับรู้เกี่ยวกับตนเองและสิ่งที่พวกเขาเรียกตัวเอง อัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลนั้นอาจเหมือนหรือแตกต่างจากเพศที่กำหนดเมื่อแรกเกิดก็ได้ เช่น 
  • GE – Gender Expression: การแสดงออกทางเพศ จะเป็นการแสดงออกในด้านรูปลักษณ์ภายนอกของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม ท่าทาง การแต่งกาย ทรงผม เป็นต้น ซึ่งการแสดงออกทางเพศนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นไปตามภาพลักษณ์ของอัตลักษณ์ทางเพศที่สังคมครอบกรอบเอาไว้ด้วย สิ่งที่สำคัญคือ การแสดงออกทางเพศเป็นเรื่องส่วนตัว ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และการแสดงออกทางเพศไม่จำเป็นต้องตรงกับความคิดของสังคมที่วางกรอบอัตลักษณ์ทางเพศไว้
  • SC – Sexual Characteristic: เพศสรีระ หรือเพศกำหนด นั่นก็คือเพศที่สังคม แพทย์ เป็นคนกำหนดให้เรา จากลักษณะทางเพศที่เราเกิดมา ซึ่งบางคนอาจจะเลือกที่จะใช้ BC หรือ Biological Characteristics แทน Sexual Characteristic เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจมากที่สุด

เรื่องของความหลากหลายทางเพศถือเป็นสิ่งที่มีความลื่นไหลและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องนิยามแค่เพียงครั้งเดียว แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และสิ่งที่เป็นมาในอดีต จะยังคงมีความหมายอยู่นั่นเอง เรียกได้ว่า อดีตเขาเป็นอย่างไร ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงการนิยามตัวเองไป ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลายเป็นคนใหม่ ที่ไร้ซึ่งอดีตของเขาเลย

Pronouns คืออะไร?

หลายคนอาจจะเคยเห็นอยู่บ่อยครั้งบน Zoom หรือ Instagram ที่มีหลายๆ คนวงเล็บสรรพนามของพวกเขาเอาไว้ แต่ก็อาจจะเคยเห็นว่ามีคำที่แปลกตาอยู่บ้าง นี่คืออีกหนึ่งสิ่งที่พวกเราอยากชวนทุกคนให้มาทำความเข้าใจกันมากขึ้นว่า pronouns หรือ สรรพนาม คืออะไรกันแน่

Pronouns หรือ สรรพนาม คือ คำที่ใช้เรียกตัวเองและคนอื่น และเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของการใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอื่นๆ เนื่องจากสรรพนามบางคำมีการระบุเพศ (เช่น she/her, he/his เป็นต้น) จึงมีความสำคัญที่เราจะต้องใช้สรรพนามอย่างตั้งใจ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและโอบรับทุกคนให้มากที่สุด

ตัวอย่างของสรรพนาม:

  • She/Her
  • He/Him
  • They/Them
  • Neopronouns เช่น Ey/Em/Eir, Fae/Faer/Faers, Xe/Xir/Xirs, Xe/Xem/Xyrs และ Ze/Hir/Hirs และ Ze/Zir/Zirs

หลายคนอาจจะใช้สรรพนามหลายชุดรวมกัน เช่น she/they, he/she, they/fae เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ตลอดเวลา หรือใช้ในบางสถานการณ์ อาจจะเพราะว่าผู้ใช้คำสรรพนามเหล่านั้นรู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางเพศของตนด้วย

Neopronouns คืออะไร

Neopronouns เป็นสรรพนามที่อาจจะไม่คุ้นหูกันสักเท่าไหร่ แต่เป็นคำสรรพนามที่มีความเป็นกลางทางเพศ เช่น Ey/Em/Eir, Fae/Faer/Faers, Xe/Xir/Xirs, Xe/Xem/Xyrs และ Ze/Hir/Hirs และ Ze/Zir/Zirs ซึ่ง neopronouns เป็นสรรพนามที่สะท้อนถึงตัวตนของแต่ละบุคคล ตามรายงานของ The Trevor Project เมื่อปี 2020 ได้มีการสำรวจเกี่ยวกับการใช้ neopronouns ในสหรัฐอเมริกา พบว่าในกลุ่มเยาวชนมี 4% และกลุ่มผู้ใหญ่ 2% ที่ใช้ neopronouns ด้วย (อ่านเกี่ยวกับ neopronouns ได้ที่ carrd การผันสรรพนามในกลุ่ม neopronouns ได้ที่ HRC)

การใช้ neopronouns นั้น แม้ว่าจะมีการพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนี้ช่วงปัจจุบันนี้ แต่การใช้ neopronouns ได้รับการบันทึกเอาไว้ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 12 เช่น he และ heo แต่มีการพัฒนามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นคำว่า she ที่ใช้สำหรับแทนเพศหญิง หรือตั้งแต่ช่วงปี 1934-1961 พจนานุกรม Merriam-Webster Unabridged Dictionary ได้ยอมรับคำสรรพนามที่บ่งบอกเพศอย่าง “thon” ซึ่งเป็นการหดคำจากวลี “that one” ซึ่งคิดขึ้นโดย Charles Crozat Converse ในปี 1858 รวมไปถึงชุมชนออนไลน์ยุคแรกอย่าง LambdaMOO ในช่วงทศวรรษที่ 1990 ได้อนุญาตให้ผู้ใช้เพื่อคำสรรพนามที่เป็นกลางทางเพศอย่าง E/Em/Eir ที่เรียกว่า Spivak pronouns ตามนักคณิตศาสตร์ Michael Spivak

ทำไมการเลือกใช้สรรพนามให้ถูกจึงเป็นสิ่งสำคัญ

การเลือกใช้สรรพนามที่ถูกต้องสำหรับใครสักคนนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่นั้นกับคุณก็ตาม เพราะเป็นการแสดงถึงการให้ความสำคัญกับเขาเสมอ เว้นแต่เพียงว่า เขาจะขอให้ไม่ใช้สรรพนามนั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง เช่น เพื่อความปลอดภัยในบางพื้นที่ หรือเพื่อความเป็นส่วนตัวของพวกเขา

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนๆ นั้นใช้ Pronouns อะไร เราจะรู้ได้ยังไง? ถ้าเกิดเป็นในโลกออนไลน์ก็ค่อนข้างง่าย เพราะทุกวันนี้มีการใส่วงเล็บว่าตัวเองใช้ pronouns อะไร ซึ่งโซเชียลมีเดียในทุกวันนี้ก็มีช่องให้วงเล็บ pronouns เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น Zoom หรือ Instagram เป็นต้น

การเลือกใช้สรรพนามนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการแสดงออกถึงตัวตนของพวกเขา และเขาเองก็ควรที่จะต้องได้รับความเคารพจากเราทุกคนด้วย การใช้สรรพนามที่ไม่ถูกต้อง อาจจะทำให้รู้สึกไม่สบายใจ หรือทำให้รู้สึกไม่โอเคกับการใช้ผิดนั้นด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า การใช้สรรพนามที่ถูกต้อง เป็นวิธีที่ดีในการแสดงความเป็นมิตร และให้เกียรติอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

แล้วถ้าเกิดใช้สรรพนามผิด ควรรีบขอโทษ และแก้ไขให้เขาด้วย เพื่อให้คนอื่นๆ ใช้สรรพนามที่ถูกต้องกับบุคคลนั้นต่อได้เรื่อยๆ แต่สิ่งสำคัญเลยก็คือ ไม่จำเป็นจะต้องไปทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ แค่ขอโทษเมื่อพูดผิดแล้วก็เปลี่ยนไปใช้คำที่ถูกต้อง ก็จะช่วยสร้างความประทับใจให้กับคนที่เราได้พบเจอกัน

รับฟัง Sapphicity EP.2 SOGIESC คืออะไร? สำคัญไฉน? มาดูกัน ได้ทาง

Sapphicity EP.2 SOGIESC คืออะไร? สำคัญไฉน? มาดูกัน

ดำเนินรายการโดย เกรซ, เฟิร์ส และกิ๊ฟ
ตัดต่อโดย ธันย์ชนก ราชเมืองฝาง

ติดตาพวกเราได้ทาง

sources:

  • https://riccosmartdata.com/sogies/
  • https://thailand.savethechildren.net/sites/thailand.savethechildren.net/files/library/SOGIESC_Manual_1.pdf
  • https://www.caremat.org/เข้าใจคน-มารู้จัก-sogie-กัน/
  • https://www.hrc.org/resources/sexual-orientation-and-gender-identity-terminology-and-definitions
  • https://www.mypronouns.org/
  • https://www.ungei.org/sites/default/files/A-Brief-on-school-bullying-on-the-basis-of-sexual-orientation-and-gender-identity-LGBT-friendly-Thailand-tha-2014-tha.pdf
Previous

5 ภาพยนตร์สำหรับคนรักน้องหมา ที่รับรองว่าไม่เสียน้ำตาแน่นอน

อบอุ่นหัวใจส่งท้ายปีไปกับ CODA หัวใจไม่ไร้เสียง

Next