หากใครได้รับชมซีรีส์ Warrior Nun ทาง Netflix หรือภาพยนตร์ Mrs. Harris Goes To Paris ที่เข้าฉายเมื่อเดือนกันยายน 2022 ที่ผ่านมา คุณอาจจะเคยหลงเสน่ห์สาวน้อยคนนี้ที่เราจะกำลังแนะนำให้คุณรู้จักไปแล้วอย่างแน่นอน นั่นก็คือ Alba Baptista นักแสดงสาวจากโปรตุเกส ที่พูดได้ถึง 5 ภาษา บอกเลยว่าคุณไม่ควรมองข้ามความสามารถของนักแสดงคนนี้เลยจริงๆ
Short Brief
เกิด: 10 กรกฎาคม 1997 เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส
ครอบครัว: แม่ – โปรตุเกส, พ่อ – บราซิล ทำให้เธอมีเชื้อชาติโปรตุเกส-บราซิล
โควทจากหนังที่ชอบ: “Obviously, Doctor, you‘ve never been a thirteen-year-old girl.” ― Jeffrey Eugenides, The Virgin Suicides.
หนังโปรดตั้งแต่ยังเด็ก: The Hunchback of Notre Dame
หนังโปรดที่ชอบ: A Streetcar Named Desire “การแสดงของผู้หญิงในนั้นมันน่าทึ่งมากสำหรับฉันในช่วงเวลานั้น และการที่มีผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นไปตามบรรทัดฐานของแฟชั่น ณ ช่วงเวลานั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจมาก”
หนังที่รีเลทกับตัวเอง: Juno
Dream Role: หนังแนว Black Swan ที่ต้องสร้างความสมดุลระหว่างร่างกายกับจิตใจ
นักแสดงที่อยากร่วมงานด้วย: Julianne Moore และ Joaquin Phoenix
ผู้กำกับหญิงที่อยากร่วมงานด้วย: Sofia Coppola
ชีวิตนอกกองถ่าย: กิจกรรมกลางแจ้งทุกประเภท เช่น เดินป่า ขี่จักรยาน เล่นโรลเลอร์เบลด เดินชายหาด และอาหาร
ความหลงใหลในด้านภาษา
อัลบา แบพติสตา สามารถพูดได้ถึง 5 ภาษาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ โปรตุเกส เยอรมัน ฝรั่งเศส และสเปน “ฉันหลงใหลในภาษามากกว่าวิทยาศาสตร์ แล้วแม่ของฉันก็เป็นนักแปลภาษาด้วย เพราะงั้น มันก็เลยเป็นเรื่องปกติที่เป็นส่วนเสริมไปในบ้าน”
นอกจากนี้แล้ว คุณแม่ของอัลบาก็ยังเติบโตที่เยอรมนี ทำให้แม่ของเธอตันสินใจที่จะส่งเธอไปเรียนที่โรงเรียนเยอรมันในลิสบอน ที่นั่น ทำให้เธอได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสมาตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนอยู่ “มันเป็นโรงเรียนที่เข้มงวดมากๆ” อัลบาบอกกับ W Magazine “และที่นั่นทำให้เรามีระเบียบวินัยสุดๆ เพราะงั้น คุณต้องใช้ภาษาของคุณได้อย่างแบบ ไม่มีที่ติเลย นั่นแหละประเด็น” เท่ากับว่า เธอได้เรียนรู้ภาษาโปรตุกีสมาตั้งแต่เกิด ได้ภาษาเยอรมัน อังกฤษ และฝรั่งเศสมาจากตอนเรียน ส่วนภาษาสเปน เธอก็มาเรียนตอนที่ถ่ายหนังในสเปนถึง 5 เดือนด้วยกัน เธอก็เลยตัดสินใจเรียนภาษาสเปนตั้งแต่ตอนนั้น
“แม่คือคนที่มีอิทธิพลกับฉันมาก”
“แม่บอกฉันเสมอว่า ‘ถ้ามันเป็นของคุณ มันก็จะเป็นของคุณ’ เป็นวลีเรียบง่ายที่เคยได้ยินมาอยู่บ่อยๆ แต่มันลึกซึ้งมากนะ และมันก็ทำให้ฉันสบายใจขึ้นด้วย” อัลบายังบอกต่อด้วยว่า “แม่ของฉันเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ใจหัวใจ แล้วนั่นก็ส่งอิทธิพลต่อฉันด้วย ตอนเด็กๆ ฉันดูแม่วาดรูปแล้วก็พบว่ามันช่ววงบำบัดได้ พอเวลาผ่านไป ฉันก็พบว่าการแสดงปลดปล่อยตัวเองก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน แล้วฉันก็ชอบที่ทำมันนะ ทั้งการวาดภาพหรือการแสดงก็ตาม ฉันมักจะรู้สึกดึงดูดกับสิ่งที่อยู่ ‘นอกกรอบ’ เสมอ”
ผลงานและความสามารถ
สำหรับ Alba Baptista แล้ว เธอเริ่มต้นอาชีพการแสดงของเธอหนังสั้นเรื่อง “Amanhã é um Novo Dia” ของ Raquel Pinheiro เมื่อปี 2012 แต่สำหรับผลงานที่เป็นเหมือนการเปิดประตูบานแรกให้กับเธอก็คือหนังสั้นเรื่อง Miami ของ Simão Cayatte เมื่อปี 2014 ที่เธอรับบทเป็นตัวหลัก อีกทั้งยังได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากเทศกาล Festival Ibérico de Cine ในปีนั้น
หลังจากนั้นแล้ว เธอก็ร่วมแสดงในภาพยนตร์และซีรีส์จะนวนมาก ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็น
- 2014-2015 : ซีรีส์เรื่อง “Jardins Proibidos”
- 2017 : ซีรีส์เรื่อง “Filha da Lei”, “Madre Paula”, “A Criação”, “Sim Chef!”, “A Impostora”, “Jogo Duplo” และ ภาพยนตร์เรื่อง “Caminhos Magnéticos” ของ Edgar Pêra, “Flutuar” ของ Artur Serra Araújo, “Tudo o que Imagino” ของ Leonor Noivo
- 2018 : ซีรีส์เรื่อง “País Irmão” หนังสั้นเรื่อง “Equinócio”, “Summerfest”, “Nero” ภาพยนตร์เรื่อง “Leviano” ของ Justin Amorim, “Linhas de Sangue” ของ Sérgio Graciano และ Manuel Pureza, “Caminhos Magnétykos” ของ Edgar Pêra, “Equinócio” ของ Ivo M. Ferreira, “Summer Fest” ของ Maria Espanhol
- 2019 : ซีรีส์ “Warrior Nun” ทาง Netflix หนังสั้นเรื่อง “Floating” ภาพยนตร์เรื่อง “Patrick” ของ Gonçalo Waddington
- 2020 : หนังสั้นเรื่อง “Change” ที่เธอทั้งแสดงและกำกับเอง ภาพยนตร์เรื่อง “Fátima” ของ Marco Pontecorvo,
- 2022 : ซีรีส์ “Warrior Nun” ซีซั่นสอง ทาง Netflix, ภาพยนตร์เรื่อง “Mrs. Harris Goes To Paris” ของ Anthony Fabian, “Nothing Never Happened” ของ Gonçalo Galvão Teles, “L’Enfant” ของ Marguerite de Hillerin และ Félix Dutilloy-Liégeois, “Campo de Sangue” ของ João Mário Grilo
และในปีถัดๆ ไปนั้น เธอก็ยังมีผลงานออกมาให้พวกเราได้รับชมกัน ทั้งภาพยนตร์เรื่อง “Dulcineia” ของ Artur Serra Araúj, “Borderline” ของ Jimmy Warden และ “Bodyhackers” ของ Carlos Conceição
เริ่มต้นการแสดงตอนอายุแค่ 15 ปี
“ฉันจำได้เสมอว่าตัวเองอยากที่จะเป็นศิลปิน ฉันอยากที่จะเป็นจิตรกร นักเปียโน แต่การเป็นตัวแทนของบางอย่าง มันไม่เคยเป็นเป้าหมายของฉันเลย มันเป็นสิ่งที่ฉันทึ่งเลยล่ะ” Alba Baptista บอกกับ Vogue Portugal
แม้ว่าอัลบา แบพติสตา จะประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ แต่เธอก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองต้องการสิ่งนั้นเลย จนกระทั่งได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์สั้นเรื่อง Miami ของ Simão Cayatte เมื่อปี 2014 “เคยมีคนมาทาบทามฉันไปเล่นหนังนะ แต่ฉันไม่รู้ว่าฉันต้องการสิ่งนั้นเลย จนกระทั่งถูกเรียกไปแคสติ้งในหนังเรื่อง Miami ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการคัดเลือกนักแสดงคืออะไร ทำงานยังไง แล้วฉันก็โชคดีมากๆ เพราะว่าผู้กำกับเขามองหาคนที่เฉพาะเจาะจงให้เหมาะกับบทนี้ แล้วฉันก็เหมาะเจาะกับสิ่งที่เขากำลังหาพอดี”
และถึงแม้ว่าเธอจะเคยร่วมแสดงในหนังสั้นเรื่อง Amanhã é um Novo Dia ของ Raquel Pinheiro และ Anna Carvalho เมื่อปี 2012 ก็ตาม แต่ว่า Miami คือจุดเปลี่ยนของชีวิตการแสดงของเธอเลยก็ว่าได้ “อันที่จริงเป็นเพราะว่า Miami ที่ทำให้ฉันรู้ว่าฉันรักสิ่งนี้นะ และฉันต้องการที่จะสำรวจ เรียนรู้ และเติบโตไปกับการแสดง” อัลบาบอกกับ Vogue Portugal
ด้วยความสามารถของเธอ ก็ได้ทำให้เธอได้รับการเสนอเข้าชิงทั้งในด้านของตัวภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งการแสดงของตัวเองก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นรางวัล Angela Award Revelation ‘Newcomer’ ของ the Subtitle European Film Festival (Ireland) เมื่อปี 2018 หรือ NICO Revelation Actress Award ของ the Portuguese Film Academy ในปี 2019 แถมยังติดอันดับ Top 10 Breakout Stars ประจำปี 2020 ของ IMDb
ถึงแม้ว่าอัลบาจะประสบความสำเร็จในสายงาน แต่เธอก็ยังคงพกความไร้เดียงสาของตัวเองติดตัวไปเสมอ
“ฉันมักจะพกสมุดเล่มเล็กๆ ติดตัว แล้วก็ชอบลบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในนั้นด้วย ฉันยังไร้เดียงสามากๆ เลยกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่ใช่ว่าไม่แคร์ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนะ แต่พอผ่านมาหลายๆ ปี ฉันก็ตระหนักมากขึ้น รู้สึกไม่มั่นคงมากขึ้นด้วย แล้วฉันก็พยายามที่จะเอาความไร้เดียงสาของตัวเองที่มีในตอนแรกติดตัวไปด้วยเสมอ” อัลบา แบพติสตา บอกกับ Vogue Portugal เมื่อปี 2020
แม้ว่าผลงานของเธอจะเป็นเครื่องการันตีความสามารถของอัลบาได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เสมอไป เธอบอกกับโว้คว่าเธอไปแคสต์งานน้อยกว่าเมื่อก่อนแล้ว พวกเขาก็เลยเชิญเธอไปแคสต์บทเหล่านั้นด้วยตัวเอง และเมื่อพูดถึงสิ่งที่ไม่คาดคิดในการแคสติ้ง เธอก็บอกว่า “สิ่งที่ไม่คาดคิดที่ฉันถูกขอให้ทำมันแตกต่างกันไปนะ โดยเฉพาะกับภาพยนตร์ เพราะว่ามันเป็นผลงานของผู้เขียนนะ มันมักจะมีหลายๆ อย่างที่อยู่ในความคิดของผู้กำกับ และนั่นก็คือสิ่งที่พวกเขามองหาโดยเฉพาะเลย เพราะงั้น มันก็เลยไม่ได้มีรูปแบบที่คล้ายกันมากเท่าไร่”
นอกจากนี้แล้ว ในช่วงโควิดที่การเดินทางไปยังประเทศต่างๆ กลายเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับนักแสดงสาวอย่างอัลบา แบพติสตา แล้ว เธอบอกว่าเธอเอ็นจอยมากๆ ที่จะได้ทำ self-tape เธอบอกกับโว้คว่า “ฉันชอบมันมากที่เวลาแคสติ้ง คุณสามารถถ่ายจากที่บ้านได้ อันที่จริง คุณเองก็คือคนที่แบกการแคสติ้งของตัวเองได้ คุณสามารถวิเคราะห์ฉากของคุณและฉากอื่นได้ รวมไปถึงสามารถเลือกเส้นทางเอาเอง นั่นเปิดโอกาสให้ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม สามารถทำความเข้าใจและรู้ได้ว่าคุณทำงานยังไง คุณเลือกอะไร และแม้ว่าคุณจะดูยอดเยี่ยมในเทปแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าคุณสามารถปรับปรุงได้ เพราะว่าคุณไม่ได้ถูกไกด์มาตั้งแต่แรก”
อีกทั้งเธอก็ยังแสดงความคิดเห็นด้วยว่ามันเป็นเรื่องดีสำหรับอาชีพนี้อีกด้วย “ฉันคิดว่ามันเป็นยุคที่ดีสำหรับการแสดงนะ เพราะว่านี่เป็นการทำให้อาชีพนี้เป็นสากล ฉันคิดว่ามันเป็นยุคที่ดีที่สุดจนถึงตอนนี้เลยก็ว่าได้ อย่างแบบ self-tapes ที่มันจะเป็นโอกาสปูทางให้กับนักแสดงที่รอคอยโอกาส ‘นั้น’ อยู่ ทั้งนักแสดง คนที่อยากจะเป็นนักแสดง ไปจนถึงนักแสดงที่มีประสบการณ์มากมาย แต่ไม่สามารถแสดงความสามารถของพวกเขาได้ในต่างประเทศ”
แล้วความเป็นสากลที่อัลบาพูดถึงนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่นักแสดงแต่ละคนต้องการ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ต่างคนต่างคิด แต่สำหรับอัลบาแล้ว เธออยากที่จะได้ใช้ภาษาอื่นนอกจากภาษาแม่ของเธอ “สำหรับฉัน ฉันอยากที่จะสำรวจสิ่งต่างๆ ในการพูดภาษาอื่นเสมอ แล้วก็ได้รับโอกาสนั้นด้วย อย่างน้อยที่สุด ฉันก็รู้สึกว่ามันแบบ อเมริกันจ๋า อย่างไม่ต้องสงสัยเลย การที่คุณอยู่ในประเทศแล้วได้รับการยอมรับ และผลงานที่สำคัญในจุดๆ นั้นจากที่คุณจากมา มันก็มีผลเท่าเทียมกันด้วย”
สำหรับการได้รับการยอมรับและโอกาสนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับวงการนี้ แล้วถ้าความเป็นสากลที่ว่า ทำให้ได้รับรางวัลออสการ์ล่ะ อัลบาบอกกับ W Magazine ว่า “ฉันไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวของฉันเลย ฉันคิดว่าการได้รับการยอมรับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับวงการนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย เพราะว่าเราได้ส่งมอบอารมณ์ของเราออกไป (ผ่านการแสดง) แล้วพอมีการได้รับชมได้พบเห็น มันก็เหมือนแบบ โล่งใจนะ แต่ยังไงก็ตาม ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องมีแรงผลักดันและความรักในอาชีพนี้ตลอด มันเป็นเหมือนกับโบนัสมากกว่า” เธอยังบอกอีกด้วยว่า ถ้าเกิดตัวเองได้รางวัล ก็คงเอาไปไว้ที่บ้านของพ่อแม่ของเธอ
แน่นอนว่าในตอนนี้ทาง Academy จะเปิดกว้างในการมอบรางวัล อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่จะเปิดพื้นที่ให้ภาพยนตร์กลายเป็นที่จับตามองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อทำให้เกิดกระแสและอยู่ในจุดสูงสุดบนโซเชียลมีเดียอีกด้วย “ฉันก็มีคิดอย่างนั้นบ้างบางครั้งแต่ก็ไม่ได้สนับสนุนสักเท่าไหร่ อันที่จริง ฉันไม่ได้เป็นแฟนของหนังสูตรสำเร็จสักเท่าไหร่ แต่คุณมีวิสัยทัศน์ที่มากกว่านั้นนะ” เธอยังบอกต่อด้วยว่า”เคยมีโปรดิวเซอร์คนหนึ่งบอกกับฉันว่า ‘ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การแคสติ้งนะ แต่เป็นการถูกเรียกกลับต่างหาก’ และนี่ก็เป็นความจริงอย่างมากเลยที่ว่า การมาถึงนั้นง่ายกว่าการทำให้ตัวเองได้อยู่ต่อ”
อัลบากับประสบการณ์การเข้าสัมภาษณ์
“พวกการประชาสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องสำคัญในโปรตุเกสเลย” เธอบอกกับ W Magazine “ฉันคิดว่าฉันรู้นะว่าสื่อคืออะไร โดยเฉพาะผ่านจากการอ่านบทสัมภาษณ์ดาราดังๆ ผ่านออนไลน์ แต่พอคุณเข้าไปแล้ว มันจะเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แบบ การสัมภาษณ์ 10 นาทีอย่างต่อเนื่องวันแล้ววันเล่า”
ผู้หญิงในวงการภาพยนตร์
อัลบาบอกกับ Fade to Her ถึงความเปลี่ยนแปลงในวงการภาพยนตร์โปรตุเกสว่ามันเป็นเรื่องที่กำลังมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนกันอยู่ “หลายต่อหลายปี ตัวละครหญิงส่วนใหญ่มีไว้เพื่อเติมเต็มบทนำของผู้ชาย แต่สิ่งต่างๆ ก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ ยุคใหม่ของผู้กำกับภาพยนตร์โปรตุเกสก็กำลังนำลายเซ็นและกฎใหม่ๆ เข้ามาสู่โรงภาพยนตร์ของเรา ซึ่งมันน่าตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้เห็นมันมีการเปลี่ยนแปลง”
การเปลี่ยนแปลง
“สังคมของเรามักมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ” อัลบาบอกกับ GQ Portugal “หากเรามองย้อนกลับไป 100 ปีก่อน ผู้หญิงไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ หาความรู้ด้วยตัวเอง แต่ทุกวันนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว เรามีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ฉันไม่ได้บอกนะว่าเรามาถึงจุดสูงสุดของวิวัฒนาการในสังคมหรือในฐานะมนุษย์แล้ว เรายังมีทางพัฒนาต่อไปได้”
นอกจากนี้แล้ว เธอยังพูดถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงลบกับ GQ ด้วย “ผู้คนพึ่งพาอินเทอร์เน็ต โซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยธรรมชาติแล้ว พวกเราเกือบทุกคนได้สร้างการเชื่อมต่อ ซึ่งเรายอมให้ตัวเองถูกควบคุมและชี้นำโดยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ชิ้นเล็กๆ ที่เราพกติดตัวไปด้วย ฉันมักจะนึกถึงเอพิโสดนั้นใน Black Mirror ที่ทุกคนล้วนแล้วแต่ถูกจัดหมวดหมู่ตามแอปพลิเคชั่น จากคะแนนที่ฉันให้กับคุณนั้น คุณจะถูกจัดลำดับทางสังคม ฉันรู้สึกว่ามันแปลกและมันก็ขนานกับชีวิตจริง นี่คือสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้นในชีวิตจริง เพราะว่าเขาพึ่งพาการยอมรับ ยอดไลค์ ยอดฟอลโลว์เวอร์ ซึ่งมันเป็นเรื่องอันตราย”
Miami ประตูบานแรก และการตกหลุมรักการแสดง
Miami ของ Simão Cayatte ถือเป็นผลงานเรื่องแรกที่เปิดประตูการแสดงให้กับเธอ อัลบาเล่าให้ GQ Portugal ฟังว่า “Patrícia Vasconcelos กำลังคัดเลือกนักแสดง และฉันเป็น 1 ใน 200 คน ที่ไปที่นั่นเพื่อคัดเลือก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำนะว่าต้องทำอะไรในการคัดเลือกนักแสดง ฉันอยู่ในช่วงที่ค้นหามัน” ซึ่งมันไม่ใช่แค่นั้น แต่การคัดเลือกนักแสดงในครั้งนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปเลยก็ว่าได้ “มันเป็นการสนทนาเลยนะ และนั่นคือเหตุผลที่ฉันยังคงรู้สึกอิ่มในใจมากๆ ที่นี่คือการติดต่อมาครั้งแรกของฉันกับวงการนี้ เพราะว่า Simão Cayatte เขาถามคำถามส่วนตัวและคำถามเชิงปรัชญากับฉัน แล้วฉันก็ชอบในวิธีการนั้นมาก เราถกเถียงกันถึงแนวคิดเรื่องความรู้สึกผิด (the concept of guilt) มันเป็นวิธีการที่เป็นส่วนตัวเป็นพิเศษ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันตกหลุมรักภาพยนตร์ นี่คือสิ่งที่ภาพยนตร์เป็น มันคือความใกล้ชิดในตัวเอง”
“คำถามแรกที่เขา (Simão Cayatte) ถามฉันก็คือ ‘คุณจัดการกับความรู้สึกผิดยังไง’ เขาแค่ต้องการที่จะเข้าใจถึงเหตุผลของฉันว่าคิดยังไงอยู่ แล้วฉันก็จำได้ว่าฉันบอกเขาว่า ‘ฉันรับมือได้ดีมาก พยายามทำตัวให้เหมือนผู้ใหญ่ ฉันคิดว่าฉันรับมือได้ดีจริงๆ แล้วฉันก็อดทนกับมันได้ ฉันสงบสติอารมณ์อยู่เสมอ แต่ความรู้สึกผิดก็กลืนกินเมื่อเวลาผ่านไป ฉันมีชีวิตอยู่ และเอาเข้าจริง ฉันรับมือกับมันได้ไม่ดีนักหรอก'”
เธอยังบอกกับ Fade to Her ด้วยว่า “วิธีการนี้ (ของ Simão Cayatte) มันทำให้ฉันตกหลุมรักแนวคิดในการแสดง เพื่อค้นหาความจริงและความเป็นไปได้ใหม่ที่อยู่ในใจของฉัน เพื่อควบคุมอารมณ์จากสิ่งเร้าภายนอก เพื่อซ่อนตัวเองในขณะที่ให้ตัวเองอย่างเต็มที่ มันยังคงตรึงใจฉันจนถึงทุกวันนี้ และอาจจะตลอดทั้งชีวิตของฉัน”
Alba Baptista และการรับบทนำใน Warrior Nun
Warrior Nun ถือเป็นผลงานภาษาอังกฤษเรื่องแรกของ Alba Baptista และได้รับเสียงตอบรับอย่างดี ทั้งในแง่ของตัวซีรีส์ และความสามารถของเธอในเชิงประจักษ์ ซึ่งจุดเริ่มต้นของการรับบท Ava Silva นั้นก็มาจากการที่เธอได้รับเชิญไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ยุโรปที่ชื่อ the Subtitle European Film Festival (Ireland) เมื่อปี 2018 พร้อมกับรับรางวัล Angela Award Revelation ‘Newcomer’ ภายในงานนั้นอีกด้วย
“ตอนนั้นฉันได้รับเชิญไป Subtitle ที่ที่เหล่าผู้คัดเลือกนักแสดงระดับนานาชาติไปรวมตัวที่นั่นกันทุกปีเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ พร้อมด้วยนักแสดงชั้นนำของยุโรปด้วย พวกเขามีการประชุมและพบปะกันอย่างต่อเนื่อง และนั่นก็เป็นโอกาสอันดีสำหรับทั้งสองฝ่าย และตัวแทนจากเทศกาลนั้นเห็นผลงานของฉัน และเชิญฉันไปด้วย นั่นเป็นสิ่งที่เปิดประตูทุกบานให้กับฉันเลยก็ว่าได้ เพราะว่ามีอยู่วันหนึ่ง ผู้คัดเลือกนักแสดงคนหนึ่งบอกกับฉันว่า ‘ฟังนะ คุณจะได้รับอีเมลคืนนี้’ และเมื่อฉันได้รับ ฉันไปดูฉากต่างๆ ทันที แล้วก็ได้อ่าน พร้อมกับความคิดว่าแบบ ‘ว้าว ตัวละครนี้เท่มาก มันน่าทึ่งมากๆ เลย’ หลังจากนั้น ฉันก็อ่านข้อมูลในอีเมลต่อ และข้อความก็ระบุว่า ‘Netflix Production, lead character’ แล้วฉันก็แบบ โอเค ตกลง!”
อัลบาบอกต่อว่า “ยังไงฉันก็จะทำมันต่อนะ ฉันสนุกมากๆ เพราะว่าฉันไม่เคยที่จะทำเลย” คนที่ช่วยเธอทำ self-tape สำหรับแคสติ้งบทนี้ก็คือ Joana Ribeiro และ Nuni Lopes ที่อยู่ในเทศกาลนั้นด้วยกัน “พวกเขาช่วยฉันทำ self-tape เพราะว่าฉันไม่เคยทำมาก่อนเลย ฉันไม่รู้ว่ามันต้องทำยังไงบ้าง แล้วฉันก็บอกกับพวกเขาว่า ‘ฉันไม่เข้าใจมันเลย แต่แบบ มาสนุกกันเถอะ มาทำฉากบ้าๆ บอๆ ด้วยกัน’ แล้วเราก็ทำมัน ถ่ายมัน และมันก็ไปได้ดี”
ทาง Simon Barry ผู้สร้างซีรีส์ Warrior Nun ก็ได้บอกกับ Decider ว่าพวกเขาเปิดคัดตัวนักแสดงจำนวนมากสำหรับบท Ava Silva หลายร้อยคนจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นในแอลเอ ลอนดอน หรือแม้กระทั่งในสเปนก็ตาม “อัลบาโผล่เข้ามาในเรดาร์ของเราช่วงต้นกระบวนการคัดเลือกนักแสดงเลยล่ะ” เขาบอกต่อว่า “ผู้คัดเลือกนักแสดงของเราใน UK สนใจเธอมากๆ แล้วก็บอกกับผมว่า ‘ฉันคิดว่าคุณต้องดูผู้หญิงคนนี้นะ เธอเหมาะมากๆ’ แล้วเราก็เห็นสิ่งที่เธอเห็นทันทีเลย พวกเราส่งข้อมูลบางส่วนไปให้เธอเพื่อให้เธอส่งเทปออดิชั่นกลับมา แล้วมันก็ยอดเยี่ยมมาก ผมรู้ทันทีเลย คิดว่าใน 25 วินาทีแรก สำหรับผมนะ เธอคือ Natalie Portman ไม่ก็ Alicia Vikander รุ่นจิ๋วเลยล่ะ ผมไม่สามารถละสายตาไปได้ ความฉลาด ความสามารถที่เธอมี และพรสวรรค์ของเธอ เธอมีทั้งความตลก ความมืดมน นี่คือสิ่งที่ผมต้องการ ผมไม่ต้องคิดซ้ำสองเลย”
ทางฟากของ Alba Baptista เองก็ได้บอกด้วยว่า “Simon Barry ใจดีกับฉันมาก เขาให้ฉันมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของทีมอื่นๆ ได้เรียนรู้ เป็นเงาของเขา อยู่ข้างหลังเขาเสมอ และเรียนรู้จากเขา ถามคำถามเขา”
การเตรียมตัวสำหรับการเป็นนักรบ
การเตรียมตัวสำหรับบทบาทของ Ava Silva ใน Warrior Nun นั้น อัลบาได้เตรียมตัวในด้านร่างกายและฝึกซ้อมกับทีมสตั๊นต์ไปพร้อมๆ กับการค้นคว้ามากมาย “ทั้งในเรื่องของภาวะอัมพาตแขนขา และมังงะต้นฉบับเรื่อง Warrior Nun Areala ด้วย สิ่งที่ดึงดูดใจฉันไปที่ Ava ก็คือ เธอในปัจจุบัน กับความเป็นเด็กที่ถูกส่งออกมา เธอแสดงออกด้วยแรงกระตุ้นและความบริสุทธิ์เหมือนกับเด็กๆ มันสนุกมากที่จะได้เชื่อมต่อกับเธอระหว่างถ่ายทำ มันแค่เอาความเป็นผู้ใหญ่ออกจากตัวของฉัน แล้วก็ยอมรับในความโง่เขลาของตัวเอง ไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองมากเกินไป มันเป็นสิ่งที่ตัวละครนี้ทำให้ฉันนึกถึงชีวิตส่วนตัวเลย”
และสำหรับในกองถ่ายนั้น มันคือความแตกต่างจากที่เธอเคยได้สัมผัสมาก่อนจากกองถ่ายในประเทศโปรตุเกส “ฉันคิดว่าความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ทีมงานที่ใหญ่กว่าปกติมาก คนอเมริกาแบบตรงประเด็นเลย ไม่จำเป็นที่จะต้องมีคอนเนคชั่นส่วนตัวเพื่อทำงานได้ดี ฉันชอบสิ่งนั้นมากๆ มันใช้งานได้ดีจริงๆ แล้วฉันก็เป็นตัวของตัวเองได้ด้วย”
ความแตกต่างระหว่างคอมิกกับซีรีส์
“เอาจริงนะ คอมิกไม่มีอะไรเหมือนกับซีรีส์เลย ฉันพูดได้เลยด้วยซ้ำว่ามัน misogynistic แบบ แม่ชีสุดเซ็กซี่ถือปืนงี้” อัลบาบอก ซึ่งสิ่งที่ Simon Barry ต้องการที่จะสื่อสารออกไปก็คือ การตื่นขึ้นมาของหญิงสาวพร้อมกับพลังวิเศษที่จะต่อสู้กับความชั่วร้ายร่วมกับซิสเตอร์คนอื่นๆ พร้อมทั้งการสร้างอำนาจให้กับสิ่งเหล่านั้น “ฉันคิดว่านั่นเป็นข้อความที่พวกเขาต้องการที่จะสื่อมันออกไปก่อน พวกเขาต้องการที่จะฟื้นฟูเนื้อหาของคอมิกเรื่องนี้จริงๆ ลบเฉพาะจักรวาลที่มันถูกสร้างขึ้น และให้สิ่งที่มีประโยชน์อื่นๆ ลงไปในนั้น”
จากนักรบแม่ชี สู่นางแบบ Christian Dior
Mrs. Harris goes to Paris ถือเป็นผลงานภาษาอังกฤษลำดับที่สองของ Alba Baptista เลยก็ว่าได้ ซึ่งมันมีความแตกต่างจาก Warrior Nun เป็นอย่างมาก และนี่ก็ถือเป็นงานที่ท้าทายมากๆ สำหรับเธอ อัลบาให้สัมภาษณ์กับ W Magazine ว่า “ฉันไม่มั่นใจเกี่ยวกับชุดสักเท่าไหร่ เพราะว่าฉันต้องสวมมันมากกว่ามันสวมเป็นตัวของฉัน” เธอรับบทเป็นนาตาชา นางแบบสาวในยุค 50 กับการเป็นโมเดลของ Christian Dior ที่ใครๆ ก็ไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้เลย
“พวกเขาควรที่จะต้องนำเสนอความงามเหมือนที่นางแบบในยุค 50 ทำ และนั่นคือความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่และเป็นเรื่องโหดกว่าที่คิดเลยล่ะ” เธอยังบอกต่อด้วยว่า การรับบทในเรื่องนี้ ทำให้ความกระหายและความอยากรู้อยากเห็นด้านแฟชั่นของเธอเพิ่มมากขึ้น แต่ว่าเธอก็ไม่กล้าที่จะขอชุดสั่งตัดเก็บไว้ “มันเป็นงานศิลปะ”
สำหรับการเข้ามารับบทนี้ เธอเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับเลือกเข้ามา “ตอนแรกเขาจะไปอีกทางนึง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนไปหมดเลยทุกอย่าง ฉันจำได้ว่าได้รับสคริปต์และตกหลุมรักมันเลย” เธอยังบอกต่อด้วยว่า “สำหรับบทบาทนี้ฉันไม่ได้ออดิชั่นนะ ฉันประชุมผ่าน Zoom กับผู้กำกับ แล้วเราก็มีบทสนทนาที่น่ารักและเชื่อมต่อกันด้วยเรื่องส่วนตัว ฉันคิดว่าเขาเห็นลักษณะนิสัยบางอย่างที่เกี่ยวกับนาตาชา แล้วเขาก็บอกว่า บทนี้เป็นของฉัน”
การเตรียมตัวสำหรับบทบาทนี้
การเตรียมตัวสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ อัลบาอ่านหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง มากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์แฟชั่นของ Dior สิ่งที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสยุค 1950 รวมไปถึงเธออ่าน Albert Camus ด้วย “เพราะว่าปรัชญาอัตถิภาวนิยมของเขาเป็นข้อมูลอ้างอิงที่สำคัญในภาพยนตร์เลย”
“ฉันอ่าน Sartre ผู้ยึดมั่นในอัตถิภาวนิยม” อัลบาบอกกับสัมภาษณ์พิเศษของ Focus Features “แล้วก็คิดว่านาตาชาเป็นคนแบบนั้นเหมือนกัน ฉันก็เลยเริ่มอ่าน Being And Nothingness ไปแค่บางส่วน แต่มันใช้เวลานานกว่าที่คาดคิดเอาไว้ และในที่สุดฉันก็แบบ ‘ฉันคิดว่าฉันเข้าใจสาระสำคัญของมันแล้ว'”
นอกจากนี้แล้ว เธอก็ยังบอกอีกด้วยว่าเธอกับนาตาชามีความคล้ายคลึงกันอยู่ ทั้งอ่านปรัชญาเพื่อความสนุก (ในขณะที่เธอให้สัมภาษณ์กับ Glamour เธอก็กำลังอ่านงานเขียนของ Friedrich Nietzsche อยู่) และเธอเองก็ยังรู้สึกประหม่าทุกครั้งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย “หากคุณเป็นคนเก็บตัว มันยากมากที่จะอยู่ในวงการนี้” เธอยังบอกต่อด้วยว่า เธอรู้สึกกังวลทุกครั้งเลยที่ต้องรับสายโทรศัพท์
ซีนโปรดในหนัง
อัลบาบอกว่าซีนที่ตัวเองชอบในการถ่ายทำก็คือฉากที่เธอต้องเดินรันเวย์นั่นเอง “คือมันไม่ใช่แบบว่า ‘จะถ่ายลุคนี้สองชั่วโมงแล้วเปลี่ยนชุดนะ’ แต่ว่าเราถ่ายแบบเหมือนเดินรันเวย์จริงๆ มันเป็นฉากโปรดของฉันเลย แต่มันก็เป็นฉากที่สั่นประสาทของฉันมากๆ เวลาที่คุณถ่ายหนังมันก็จะมีการถ่ายหลายๆ เทค คุณจะมีเวลาหายใจเข้าออกลึกๆ แล้วก็จดจ่อกับสิ่งที่คุณต้องทำ แต่นี่มันวุ่นวายมากๆ ทันทีที่คุณเดินบนรันเวย์เสร็จ คุณก็ต้องเดินกลับแล้วมาเปลี่ยนชุดต่อไปทันที แถมยังต้องระวังทรงผมกับเมคอัพบนใบหน้าใด้ดีด้วย มันเครียดแต่ก็ตื่นเต้นสุดๆ ทุกครั้งที่ฉันส่องกระจกแล้วเห็นชุดที่น่าทึ่งนี้บนตัวฉัน ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก แบบ ‘ฉันจำตัวเองไม่ได้เลยเนี่ย! ชุดนี้เป็นทุกอย่างเพื่อฉัน ชุดนี้โดดเด่นด้วยตัวเองเลย'”
ความสัมพันธ์ภายในกองถ่าย
การร่วมงานกันของอัลบากับ Lesley Manville และ Isabelle Huppert ในภาพยนตร์ Mrs. Harris Goes to Paris นั้น เธอก็บอกว่าพวกเขาได้ให้คำแนะนำกับเธอที่จะพกติดตัวไว้ตลอดอาชีพการทำงานของเธอ “ในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ มันง่ายมากเลยที่คุณจะเงียบแล้วก็ทำในสิ่งที่เขาบอกให้คุณทำ อิซาเบลเป็นนักแสดงที่มีความมั่นใจมากที่สุดที่ฉันเคยพบในกองถ่าย เพราะงั้น การสังเกตเธอคือสิ่งที่สอนให้ฉันมั่นใจ ทั้งในการตัดสินใจและสัญชาตญาณของฉันเอง”
สำหรับ Lesley Manville ก็ได้บอกว่าอัลบาเป็นคนที่ใจดี ใจกว้าง และมองโลกในแง่ดีพอๆ กับตัวละครของเธอ “ฉันมีช่วงเวลามากมายที่จะแบ่งปันความรู้สึกที่ไม่มั่นคงของฉันกับเลสลีย์ แล้วเธอก็บอกว่า ‘ไม่นะ เธอต้องฮึบขึ้นมา ชีวิตเป็นสิ่งที่ดี ลองมองผ่านเลนส์นี้แทนดู'”
อัลบายังได้บอกกับ Glamour ว่า Lesley Manville คือคนที่เธอสนิทที่สุดในกองนี้ “เลสลีย์เป็นคนที่มีพลังสดใสในกองถ่าย ซึ่งมันป็นสิ่งที่คุณไม่คาดคิดจากนักแสดงมากประสบการณ์แบบเธอ ในกองถ่าย เธอก็เป็นเหมือนกับนักแสดงหน้าใหม่ที่ตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน เธอมีความเป็นผู้นำและดูมีหลายๆ สิ่งที่ต้องทำ แต่เธอเองก็เป็นคนแรกที่เชิญพวกเราไปทานอาหารเย็นด้วยกัน ฉันถือว่าเลสลีย์เป็นนักแสดงที่ทุกคนใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นในสักวันหนึ่งด้วย เธอเป็นคนที่ติดดิน ฉลาด และใจดี เธอเป็นผู้ให้สุดๆ ฉันมีหลายอย่างที่ไม่มั่นใจในตัวเอง แล้วเธอก็ปังมากสำหรับฉัน มันดูเป็นอะไรที่แบบเดิมๆ นะที่จะเตือนตัวเองให้ฉันเชื่อมั่นในตัวเองให้มากขึ้น”
ผลงานใหม่
คุณสามารถรอติดตามผลงานใหม่ของ Alba Baptista ได้ ทั้งจากภาพยนตร์เรื่อง Borderline ของ Jimmy Warden ภาพยนตร์ตลก-ระทึกขวัญ เกี่ยวกับ ชายหนุ่มต่อต้านสังคมที่ดันเป็นคนโรแมนติก หลบหนีจากโรงพยาบาลจิตเวช แล้วบุกเข้าไปในบ้านของซูเปอร์สตาร์เพลงป๊อปแห่งยุค 90 ที่เขาต้องการที่จะได้รับความรัก ส่วนเธอก็แค่ต้องการที่จะเอาตัวเองให้รอด ผลงานเรื่องนี้เธอรับบทเป็น Penny และร่วมแสดงกับ Samara Weaving ด้วย
นอกจากนี้แล้ว อัลบายังร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Mother Mary ของ David Lowery จากค่าย A24 ที่จะร่วมแสดงกับ Anne Hathaway, Michaela Coel, Hunter Schafer, Sian Clifford, Kaia Gerber และ Jessica Brown-Findlay แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ประกาศวันฉาย แต่อดใจรอรับชมกันได้เลย
ส่วน Warrior Nun สามารถรับชมได้ทาง Netflix
Sources:
- https://decider.com/2020/07/06/warrior-nun-alba-baptista-ava/
- https://movieweb.com/jason-isaacs-alba-baptista-mrs-harris-goes-to-paris-interview/
- https://subtitletalent.com/alba-baptista
- https://twitter.com/IMDb/status/1295420183578804228
- https://variety.com/2022/film/festivals/samara-weaving-eric-dane-ray-nicholson-starring-borderline-cocaine-bear-1235362768/
- https://www.elitelisbon.com/pt/alba-baptista-485/
- https://www.fadetoher.com/2021/06/11/european-shooting-stars-2021-interview-with-alba-baptista/
- https://www.focusfeatures.com/article/mrs-harris_bravo-baptista-qa
- https://www.glamour.com/story/alba-baptista-interview
- https://www.gqportugal.pt/tema-de-capa-alba-baptista
- https://www.vogue.pt/alba-baptista-entrevista-cinema
- https://www.wmagazine.com/culture/alba-baptista-interview-mrs-harris-goes-to-paris-2022
- https://www.youtube.com/watch?v=v2pd0Tu0h-4