ถ้าหากคุณรู้จักกับ Mini Trees, The Tullamarines หรือกำลังมองหาวงดรีมป๊อปใหม่ๆ ฟัง The Noize Magazine อยากขอแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับ EGOISM วงดรีมป๊อปน้องใหม่จากซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย พวกเขาเพิ่งปล่อยอัลบั้มเดบิวต์ที่มีชื่อว่า “And Go Nowhere” ออกมาให้ได้ฟังกันเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
EGOISM เริ่มต้นขึ้นมาจากเพื่อนสมัยเด็กสองคนอย่าง Scout Eastment (she/her) และ Olive Rush (they/them) ก่อนที่จะได้พบกับมือกลองอย่าง Adam Holmes (he/him) พวกเขาได้สร้างสรรค์ผลงานดรีมป๊อป ผสมผสานท่วงทำนองแบบชูเกซ พร้อมเนื้อเพลงที่ตรงไปตรงมา
อัลบั้มเดบิวต์ของพวกเขาอย่าง And Go Nowhere ไม่ใช่แค่การพิสูจน์ฝีมือการแต่งเพลงของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังทำให้เรื่องราว สถานที่ ความทรงจำไม่ว่าจะเป็นความงดงามอันยุ่งเหยิงของเพลง “Addison Road” หรือบทเพลงที่สะท้อนความรู้สึกภายในของเพลง “If I Was A Girl” แต่ละเพลงล้วนถ่ายทอดเรื่องราวผีๆ มุมถนน และปัญหาต่างๆ ของซิดนีย์ออกมาได้อย่างน่าติดตาม
The Noize Team ได้มีโอกาสพูดคุยกับ Scout, Olive และ Adam ทั้งในมุมมองของการเป็นวงหน้าใหม่ การเริ่มทำเพลง อัลบั้มเดบิวต์ ความฝัน และการเดินทางออกมาจากบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อนำผลงานเพลงของพวกเขาออกไปสู่สายตาทั่วโลก
A Conversation with EGOISM
The Noize Team: สวัสดี EGOISM อยากให้พวกคุณช่วยแนะนำตัวให้พวกเรารู้จักกันสักหน่อย เพราะว่าหลายๆ คนอาจจะเพิ่งเคยได้ฟังเพลงของคุณ แล้วก็เล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหมว่าทั้งเจอกันครั้งแรกได้ยังไง
Olive: สวัสดีครับ พวกเราเป็นวงดนตรีท้องถิ่นจากซิดนีย์ ที่ทำเพลงสไตล์ซิดนีย์ ผมกับสเกาต์เจอกันบนรถบัสไปโรงเรียนตอนเด็กๆ แล้วก็เจออดัมด้วยกันที่ผับตอนอายุ 18 ปีครับ
TNT: แล้วแนวเพลงของวงล่ะ อยากที่จะอธิบายแนวเพลงให้คนที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนได้ลองฟังกันว่ายังไงบ้าง
Olive: วงของพวกเราทำเพลงที่ซาวด์นุ่มนวลละมุนละไม พวกเราเขียนเพลงแบบดั้งเดิม ที่มีทั้งท่อนร้องประสานเสียง ท่อนบริดจ์ พร้อมเสียงก้องกังวาน
TNT: ด้วยความที่พวกคุณเป็นวงจากออสเตรเลีย และอยู่ที่ซิดนีย์ด้วย อยากรู้ว่าการเติบโตในซิดนีย์มีอิทธิพลต่อตัวตนและแนวเพลงของคุณในฐานะวงดนตรียังไงบ้าง
Olive: ผมว่า พวกเรามักจะเขียนเพลงแบบตรงไปตรงมา ตั้งชื่อสถานที่ไปเรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากนิสัยของพวกเราที่ชอบฟังเพลงระหว่างเดินทางในเมือง ที่บางครั้งรู้สึกเหมือนเมืองนั้นอยากให้เราหายไป
TNT: แล้วอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเขียนเพลงที่ให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้งแบบนี้
Olive: ผมบอกเลยนะ ซิดนีย์เต็มไปด้วยเรื่องผีๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงคนที่เราเคยรู้จัก เสียงที่เราเคยได้ยิน การแต่งเพลงทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นการยอมรับมัน เรื่องราวเหล่านี้ควรถูกพูดออกไปนะ
TNT: มีศิลปินออสเตรเลียคนไหนที่พวกคุณได้แรงบันดาลใจมาเป็นพิเศษไหม
Olive: พวกเราได้แรงบันดาลใจจากดนตรีออสเตรเลียเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Snakadaktal, Last Dinosaurs, Cloud Control ส่วนใหญ่เป็นวงโปรดสมัยมัธยมปลายเลยล่ะ
TNT: ใครมักจะเป็นผู้นำในการแต่งเพลง และกระบวนการแต่งเพลงของคุณเป็นอย่างไร
Olive: ปกติแล้วผมจะคิดไอเดียเพลงขึ้นมาแล้วแชร์กับทีมทันที จากนั้นสเกาต์จะช่วยเรื่องเนื้อร้องและเล่นเครื่องดนตรี ส่วนอดัมจะมาช่วยเขียนกลองให้ มันไม่ได้ตายตัวหรอกครับ แต่มันก็เวิร์คสำหรับพวกเรา
TNT: คุณมองว่าดนตรีของ EGOISM จะเป็นยังไงต่อไป
Olive: เราแต่งเพลงชวนโยกมาเยอะมาก แต่ก็มีเพลงอะคูสติกที่รายละเอียดเนื้อร้องชัดเจนมากด้วย บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่รับรองว่าเพลงดีแน่นอน
Inside And Go Nowhere
TNT: ขอแสดงความยินดีอีกครั้งกับอัลบั้มเดบิวต์ของวง สำหรับอัลบั้ม And Go Nowhere พวกเราอยากรู้ว่าพวกคุณได้ไอเดียชื่ออัลบั้มมาจากไหน
Olive: ชื่ออัลบั้มเหรอ ผมเห็นมันขูดอยู่บนสะพานระหว่างช่วงล็อกดาวน์จากโควิด มันถ่ายทอดความรู้สึกที่ถูกกักขัง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกซาบซึ้งใจของการได้อยู่ในบ้านเกิดของเราได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผมรู้เลยว่าเราต้องได้หยิบมาใช้อย่างแน่นอน
TNT: พวกคุณใช้เวลานานแค่ไหนในการทำอัลบั้มนี้ให้เสร็จ แล้วอะไรที่ยากที่สุดในการทำอัลบั้มนี้
Olive: บางเพลงในอัลบั้มนี้เขียนขึ้นมาตั้งแต่ปี 2019 แต่เพลงส่วนใหญ่เขียนในปี 2023 แล้วถ้าถามว่าอะไรที่ยากที่สุด ก็คงเป็นการปล่อยเพลงล่ะมั้งครับ เพราะว่าผมชอบที่จะปรับไปเรื่อยๆ เพื่อสำรวจเสียงที่มันจะสามารถไปต่อได้
TNT: เพลงไหนที่เขียนยากที่สุด และเพลงไหนที่เขียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด
Olive: ผมว่าเพลง “No Way In Hell” ยากที่สุด เราอัดเสียงกีตาร์และเสียงร้องใหม่หลายครั้ง ส่วนเพลง “Front Door” ง่ายที่สุด เราแต่งเพลง บันทึกเสียง มิกซ์ และปล่อยมันออกมา ไหลลื่นสุดๆ
TNT: อยากให้ช่วยเล่าเรื่องเพลง “If I Was A Girl” ให้เราฟังหน่อยได้ไหม
Scout: ฉันเขียนเพลงนี้หลังจากย้ายออกจากบ้านไปครั้งแรก ตอนนั้นฉันอยู่ในช่วงที่คาบเกี่ยวระหว่างชีวิตวัยรุ่นกับวัยผู้ใหญ่ มันเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจ ความรัก และการเติบโต ตอนนั้นฉันคลั่งไคล้เครื่องดรัมแมชชีน CR78 มาก เลยสนุกกับการลองเล่นมันดู
TNT: ในการวางลำดับเพลงต่างๆ ของอัลบั้ม อยากรู้ว่าพวกคุณตัดสินใจยังไงกันบ้าง
Olive: เราคิดกันเยอะมากเกี่ยวกับลำดับเพลง แล้วเพลง “Front Door” มักจะเป็นเพลงปิดท้ายเสมอ แต่เราเถียงกันว่าเพลงเปิดควรจะเป็น “Getting Older,” “Sydney” หรือ “How To Disappear” ดี ช่วงอินเทอร์ลูดทำให้อัลบั้มแบ่งครึ่งได้อย่างลงตัวเลย
TNT: แน่นอนว่าสำหรับอัลบั้มนี้ ทางวงกำลังก้าวข้ามวงการเพลงท้องถิ่น ความทะเยอทะยานที่จะไปไกลในระดับนานาชาติ
Olive: ไปให้สุดเลย ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม จริงๆ ตอนนี้ผมกำลังพักร้อนอยู่ที่โตเกียว และเมืองนี้มีดนตรีอยู่ทุกที่ มันสร้างแรงบันดาลใจได้มากๆ เลย
TNT: มาถึงช่วงท้าย แต่ยังไม่ท้ายสุด อยากจะถามพวกคุณว่าเพลงไหนในอัลบั้ม And Go Nowhere ที่คุณอยากแนะนำให้ผู้ฟังชาวไทยเริ่มต้นฟังเป็นอันดับแรกๆ
Olive: เพลง “Getting Older” คนไทยหลายคนชอบเพลงนี้อยู่แล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกคุณรสนิยมดีกันทั้งนั้นเลยนะ
TNT: แล้วอาหารออสเตรเลียเมนูไหนบ้างที่คนไทยควรลอง
Olive: จริงๆ ไม่มีอาหารออสเตรเลียอะไรที่อร่อยหรอก ส่วนใหญ่เป็นอาหารจากทั่วโลกที่นำมาให้ประเทศพวกเรา แต่ผมอยากลอง finger lime นะ
TNT: สุดท้าย มีอะไรฝากถึงแฟนๆ ชาวไทยบ้างไหม
EGOISM: เรารักคุณ ไว้เจอกันนะครับ อดทนไว้นะ
อัลบั้มเดบิวต์ And Go Nowhere จะพาทุกคนไปพบกับเรื่องราวที่ผูกโยงเข้ากับสถานที่และความทรงจำของพวกเขา และตอนนี้ทางวงกำลังเตรียมตัวสำหรับคอนเสิร์ตเปิดตัวในเอเชีย อาจจะเรียกได้ว่า บทเพลงของพวกเขากำลังจะได้เดินทางไปไกลกว่าแค่ซิดนีย์ที่พวกเขาใฝ่ฝันกันแล้ว
ล่าสุด EGOISM กำลังจะได้ขึ้นแสดงที่ Music Matters Live ที่สิงคโปร์ในเดือนกันยายนนี้ เรียกว่าเป็นเวทีแรกของพวกเขานอกประเทศออสเตรเลียเลยก็เป็นได้