การกลับมาของภาพยนตร์แอ็คชั่นที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์โลกอย่าง SISU กำลังจะถูกสานต่อในภาคที่สองกับชื่อ SISU: ROAD TO REVENGE – เฒ่ามหากาฬ 2 โดยครั้งนี้ ผู้กำกับและผู้เขียนบทอัจฉริยะอย่าง Jalmari Helander ได้ยกระดับความเดือดและเดิมพันของการล้างแค้นส่วนตัวให้ใหญ่กว่าเดิม จนแทบจะท้าทายทุกกฎฟิสิกส์ของการสร้างภาพยนตร์แอ็คชั่น
สำหรับแฟนภาพยนตร์ที่ยังจำความประทับใจจากภาคแรกได้ SISU เป็นมากกว่าแค่คำในภาษาฟินแลนด์ที่แปลว่า “ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นที่เหนือขีดจำกัดของมนุษย์” มันคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อความหวังทั้งหมดดับสิ้นไป และคำนี้เองที่นิยามตัวตนของ Aatami Korpi อดีตคอมมานโดชาวฟินแลนด์ผู้เงียบขรึมและเชี่ยวชาญการต่อสู้แบบเหนือมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในภาคแรกที่ออกฉายในปี 2023 เขาได้พิสูจน์ความไม่ยอมตายด้วยการต่อสู้และกวาดล้างกองร้อยทหารนาซีที่กำลังล่าถอยจากฟินแลนด์ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองด้วยตัวคนเดียว และนั่นได้จุดประกายความหลงใหลให้กับผู้ชมทั่วโลกด้วยความมันส์แบบนอนสต็อป
จุดเริ่มต้นของการทวงคืนและเส้นทางแห่งการล้างแค้น
SISU: ROAD TO REVENGE – เฒ่ามหากาฬ 2 เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรกประมาณ 2 ปี ในช่วงเวลาที่ฟินแลนด์ต้องยกดินแดนราว 10% ให้กับสหภาพโซเวียต สถานการณ์นี้เองที่กลายเป็นชนวนสำคัญในการกลับมาของ อาตามิ
อาตามิ คอร์ปี อาจจะคิดว่าหลังสงครามเขาจะได้พักอย่างสงบเสียที แต่ เฮแลนเดอร์ รู้ดีว่าเรื่องราวของเขายังไม่จบ ผู้กำกับอธิบายว่า “อาตามิสูญเสียทุกอย่างไปแล้ว ทั้งครอบครัว และบ้านของเขา แต่บ้านหลังนั้นตอนนี้กลับอยู่ในประเทศของคนอื่น ดังนั้น อาตามิจึงตัดสินใจจะเอาบ้านของเขากลับคืนจากโซเวียต” การตัดสินใจนี้เองที่นำพาเขาเข้าสู่การเดินทางสุดระห่ำ
เมื่อภาพยนตร์เปิดเรื่องขึ้น เราจะได้เห็น อาตามิ (รับบทโดย Jorma Tommila) ขับรถกลับไปยังบ้านไม้ซุงหลังเดิม ซึ่งเป็นสถานที่ที่ครอบครัวของเขา รวมถึงลูกชายสองคน ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในช่วงสงคราม เขาเริ่มรื้อบ้านหลังนั้นออกทีละท่อน บรรทุกขึ้นรถบรรทุก เพื่อนำไปสร้างใหม่ในที่ที่ปลอดภัย เพื่อเป็นเกียรติแก่ความทรงจำของครอบครัวที่สูญเสียไป การกระทำที่ดูเรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้เป็นแก่นสำคัญที่ผลักดันให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด
ศัตรูผู้กระหายการล้างแค้น: เยเกอร์ ดรากูนอฟ
โชคชะตาไม่ได้ทำให้การเดินทางของเขาเป็นไปโดยง่าย เมื่อศัตรูจากอดีตได้กลับมาอีกครั้ง Jager Dragunov ผู้บัญชาการกองทัพแดง (รับบทโดย Stephen Lang จาก Don’t Breathe) คือฆาตกรผู้พรากครอบครัวและทำลายหมู่บ้านของ อาตามิไป และตอนนี้ ดรากูนอฟก็ได้รับภารกิจในการ “จบงาน” ที่ค้างไว้ด้วยการฆ่า อาตามิ ให้ได้
การปะทะกันระหว่าง “นักรบผู้ไม่ยอมตาย” กับ “ศัตรูผู้กระหายการล้างแค้น” บนฉากหลังของฟินแลนด์และสหภาพโซเวียตในยุคหลังสงครามโลก จึงอุบัติขึ้นอย่างดุเดือดและตึงเครียด ผู้อำนวยการสร้าง เปทริ โยคิรันตา (Petri Jokiranta) ผู้ซึ่งทำงานกับ เฮแลนเดอร์ มาอย่างยาวนานกว่า 17 ปี และเป็นพันธมิตรคนสำคัญในการพัฒนาโปรเจกต์ SISU ทั้งสองภาค ได้กล่าวเสริมว่า “สิ่งที่ขาดไม่ได้คือฉากแอ็กชันที่แปลกใหม่และคิดนอกกรอบ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เรื่องราวและภารกิจของตัวละครต้องเข้าถึงใจผู้ชมได้” และในภาคใหม่นี้ เฮแลนเดอร์ได้ยกระดับการผจญภัยของ อาตามิ ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าที่เคยอย่างแท้จริง
แอ็คชันที่สร้างสรรค์และไม่ประนีประนอม
สิ่งที่ทำให้ SISU แตกต่างคือการออกแบบฉากแอ็กชันที่อาศัยทั้งความฉลาดและความอดทนไม่สิ้นสุดของตัว อาตามิ ในภาคนี้ ผู้ชมจะได้เห็นการเดินทางอันสุดระห่ำแบบไร้ขอบเขตของความเป็นมนุษย์ ทั้งการถูกตามล่าจากกองทัพของ ดรากูนอฟ และทหารรับจ้างที่คอยเขวี้ยงระเบิดเพลิงใส่ ฉากขับรถมอเตอร์ไซค์ไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง การถูกยิงถล่มด้วยรถถังแบบไม่ให้ผุดให้เกิด การระดมยิงและทิ้งระเบิดใส่จากเครื่องบินรบ จนถึงจุดที่ อาตามิ ต้องคว้าขีปนาวุธมาไว้ในมือเพื่อเอาตัวรอดจากการไล่ล่า นี่คือภาพยนตร์แอ็กชันที่ไม่มีหยุดพัก ไม่มีการประนีประนอม และจะพาผู้ชมไปสุดทางแห่งความมันส์อย่างแท้จริง
Mike Goodridge ผู้อำนวยการสร้างของเรื่อง ยืนยันว่า เฮแลนเดอร์จะไม่สร้างภาคต่อหากไม่มีไอเดียที่ทรงพลังมากพอจะต่อยอด และยกระดับจากภาคแรกได้จริง “ในเรื่องนี้ พระเอกของเรากลับไปที่บ้านหลังเดิม รื้อบ้านออกทีละส่วน เพื่อนำกลับไปยังฟินแลนด์ มันเป็นแก่นสำคัญของเรื่องราวของ อาตามิ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ที่น่าติดตามในตำนานของ Sisu”
เบื้องหลังการสร้างสรรค์ที่เต็มไปด้วยหัวใจ
เสน่ห์ของ Sisu ไม่ได้อยู่ที่ฉากแอ็กชันเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ตัวละคร อาตามิ คอร์ปี กู๊ดริดจ์กล่าวถึงเสน่ห์ของตัวละครนี้ว่า “สิ่งที่ทำให้ผู้ชมทั่วโลกหลงรัก Sisu ก็คือ ‘อาตามิ’ เป็นฮีโร่ที่แตกต่าง เขาเป็นคนที่เราต้องการเอาใจช่วยมาตลอด เขาเป็นตัวแทนของคนธรรมดาที่ลุกขึ้นสู้ได้อย่างเหลือเชื่อ และในภาค SISU: ROAD TO REVENGE ผู้ชมจะยิ่งรู้สึกผูกพันกับเขามากกว่าเดิม เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้เขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
ยัลมาริ เฮแลนเดอร์ ได้นำเอาแรงบันดาลใจและอิทธิพลจากหลากหลายแหล่งมาผสมผสานในทุกผลงานของเขา กู๊ดริดจ์อธิบายว่า “เฮแลนเดอร์คือหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์แอ็กชันที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างก็คือ เขาใส่หัวใจลงไปในหนังทุกเรื่อง เขาเข้าใจศิลปะการเล่าเรื่องผ่านภาพยนตร์อย่างลึกซึ้ง และทุกครั้งที่เขาสร้างสรรค์ผลงาน เขาจะถ่ายทอดพลังอันเข้มข้นออกมาได้อย่างน่าทึ่งบนจอภาพยนตร์”
นักแสดงนำ ยอร์มา ทอมมิลา ก็ได้กล่าวชื่นชม เฮแลนเดอร์ ว่า “เขารู้สึกสนุกและเป็นเกียรติทุกครั้งที่ได้ร่วมงานกัน ยัลมาริมักมีไอเดียใหม่ๆอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของเรื่องราว ตัวละคร หรือแน่นอน ฉากแอ็กชัน” ขณะที่ สตีเฟน แลงก์ นักแสดงคนใหม่ที่เข้ามาร่วมจักรวาล Sisu ในบทบาท ดรากูนอฟ ก็กล่าวถึงประสบการณ์การทำงานกับผู้กำกับรายนี้ว่า “เขาเปิดกว้างอย่างยิ่ง และรับฟังความคิดเห็นของผมในเรื่องแรงจูงใจของตัวละคร ดรากูนอฟ เขาเป็นผู้กำกับที่ใจกว้าง มีอารมณ์ขัน และรู้ชัดเจนว่าเขาต้องการอะไรในทุกฉาก ทุกช่วงเวลา”