หลังจาก Killing Eve ซีซั่น 4 เริ่มฉายเอพิโสดแรกไปเรียบร้อยแล้วนั้น ในเอพิโสดที่สองที่ดูเหมือนว่านั่นจะยังคงดำเนินเรื่องที่ไม่ปะติดปะต่อกันสักเท่าไหร่ แต่ก็ถือเป็นการปูเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นในซีซั่นนี้ได้อย่างน่าสนใจไม่แพ้กัน
สำหรับในเอพิโสดที่สอง จะเป็นเรื่องราวของวิลลาแนลล์ที่เข้าร่วมแคมป์ของชาวคริสต์ในโบสถ์แห่งนั้น และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะมีส่วนร่วม จนมันเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ส่วนอีฟ หลังจากที่รู้แล้วว่าจะติดตามเฮเลนได้อย่างไร คราวนี้เขาและยูซุฟก็พบกับที่พักของเฮเลนในปารีสและเข้าประชิดตัวได้เรียบร้อยแล้ว ทางฟากของแคโรลินเองที่ผิดหวังจากอีฟไปในคราวก่อน เธอก็กลับมาพร้อมกับการเดินหน้าทำภารกิจด้วยตัวเอง นั่นก็คือการเดินทางไปยังรัสเซียด้วยตัวเองเพื่อติดต่อกับวลาด และสานต่อภารกิจให้เดินต่อไปได้
Eve ยังคงไม่เชื่อสายตากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
หลังจากที่วิลลาแนลล์มาหา และบอกว่าเธอเปลี่ยนไปแล้ว ใช่ว่าอีฟจะเชื่อ เพราะด้วยสิ่งต่างๆ ที่เผชิญหน้ามานั้น ทำให้เธอตัดสินใจที่จะไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น อีฟค้นหาเกี่ยวกับวิลลาแนลล์มากขึ้น อย่างการเสิร์ชเข้าไปค้นหาข้อมูลจากโบสถ์ St. Mark’s แล้วก็พบรูปของวิลลาแนลล์ทำกิจกรรมที่นั่นเต็มไปหมด แถมยังถอนหายใจอย่างหนักหน่วงอีกด้วย นั่นอาจจะทำให้อีฟรู้สึกไม่ชอบใจกับสิ่งที่วิลลาแนลล์เป็นในตอนนี้ หรืออาจจะไม่คุ้นชิน หรือไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นไปกับสิ่งต่างๆ ที่อีกฝ่ายพยายามจะเปลี่ยนแปลงเหมือนเช่นเมื่อก่อน ที่อีฟจะตื่นเต้นทุกครั้ง ที่ได้ติดตามเรื่องราวของวิลลาแนลล์ การฆ่า องค์กร และอยากที่จะสัมผัสกับทุกอย่างที่วิลลาแนลล์เคยสัมผัสมา
และเมื่อมาร์ตินถามอีฟถึงวิลลาแนลล์ นอกจากว่าอีฟจะบอกแค่ว่าวิลลาแนลล์เปลี่ยนไปนับถือคริสต์แล้ว เธอยังถามกลับว่า มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ มาร์ตินก็บอกว่า “มนุษย์ชอบที่จะเชื่อในการเปลี่ยนแปลงนะ” แต่ตัวมาร์ตินเห็นแย้งว่า “ผมคิดว่า การสร้างตัวตนใหม่มันก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการเลี่ยงปัญหา” สิ่งที่มาร์ตินบอกไป อาจจะทำให้อีฟได้เห็นมุมมองใหม่ๆ หรือเป็นการยืนยันในสิ่งที่เธอคิดเกี่ยวกับวิลลาแนลล์ด้วยเช่นกัน
เจ้าหญิงทั้งสองที่พยายามจะโค่นมังกรยักษ์
ชื่อหัวข้อนี้มาจากนิทานที่ โคลอี้ ลูกสาวของเฮเลน ขอให้อีฟอ่านนิทานให้ฟัง เนื่องจากอีฟหพยายามตามหาตัวเฮเลน ในที่สุดเธอก็พบตัวแล้วที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ยังพบกับวิธีเข้าถึงตัว พร้อมด้วย จากเครื่องส่งสัญญาณติดตามตัวที่อีฟได้เอาไปใส่เข้าไปในกระเป๋าของเฮเลนในลอนดอน จนพบว่าเธอพักอยู่ที่ Champ de Mars ในปารีส ซึ่งสถานที่นั้น เธออยู่กับลูกสาวของเธอนั่นเอง อีฟมาพร้อมกับแผนในหัว โดยเฉพาะการเดินไปเคาะหน้าบ้านของเฮเลน แม้ว่าแผนของอีฟจะถูกบอกปัดจากยูซุฟ พาร์ทเนอร์ของเธอ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ยังเชื่อมั่นว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอคิดมาได้ ต่อให้มันจะน่ากังวลมากแค่ไหนก็ตาม
แน่นอนว่าอีฟรู้สึกตื่นเต้นและตื่นตัวตลอดเวลาที่พยายามตามหาเฮเลนให้พบ แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังคงกลัวอยู่ลึกๆ เหมือนกับช่วงเวลาที่เธอได้พบกับวิลลาแนลล์ในครั้งแรกๆ นั่นเอง เพราะว่าการที่อีฟได้เจอกับเรื่องราวเหล่านี้ นอกจากจะทำให้ความอยากรู้ของเธอมันมากขึ้นแล้ว ยังทำให้เธอรู้สึกเหมือนเล่นกับไฟ ต่อให้มันร้อน มันดูอันตราย แต่มันก็ยังคงน่าสนุก น่าตื่นเต้นสำหรับเธอเสมอ
ตัวของยูซุฟเองก็พยายามที่จะบอกอีฟว่า เธอเป็นเหมือนพวกคนที่เอาลูกสิงโตมาเลี้ยง แล้วก็เชื่อว่ามันจะไม่มีวันทำร้ายเธอ เพราะเราผูกพันกัน และสุดท้ายมันก็กลับมาแว้งกัดเธออยู่ดี ซึ่งอีฟก็คืออีฟ เธอรู้ตัวของเธอดีอยู่แล้ว และเธอรู้ว่าวิธีการของเธอมันจะได้ผลอย่างแน่นอน เพราะมีมาร์ตินคอยซัพพอร์ตความคิดของอีฟ แม้ว่าสิ่งที่มาร์ตินจะบอกไปนั้น จะมีรายละเอียดปลีกย่อยและเงื่อนไขอยู่เพียบ แต่สิ่งที่อีฟตัดสินใจก็คือ เธอเลือกที่จะหยิบบางอย่างออกไป แล้วบอกกับมาร์ตินว่า บางทีเธอเองอาจจะเป็นพวกอันตรายมากกว่าที่จะเป็นเหมือนกับเขา ก่อนจะแยกกันไป
อีฟตัดสินใจที่จะทำตามสัญชาตญาณของเธอ นั่นก็คือเดินตรงเข้าไปเคาะประตูบ้านของเฮเลน แล้วเดินตรงเข้าไปในบ้านของอีฟฝ่าย เพื่อทำมื้อเย็น นั่นก็คือเชพเพิร์ดพาย เมนูโปรดติดบ้านของอีฟ สมัยยังอยู่กับนิโค อีฟก็ได้บอกกับเฮเลนว่าต้องการที่จะตัดหัวของ The Twelve เฮเลนก็เช่นกัน และบอกกับเฮเลนว่าเธอไม่จำเป็นที่จะต้องทำเรื่องนี้คนเดียว แต่ทั้งคู่ต่างที่จะพยายามที่จะถามหาว่าใครเป็นนายใหญ่ของ The Twelve แต่ก็ไม่มีใครยอมบอกกัน เราก็ต้องมารอดูกันต่อไปว่า ใครจะเป็นคนเผยชื่อให้กันก่อนเป็นคนแรก
หนูสำหรับหนูปากโป้ง
แคโรลินให้ข้อมูลกับวลาด เพื่อแลกกับการที่จะเข้ามาเป็นอยู่ในการจัดการเดอะทเวลฟ์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสามบุคคล คนแรกเป็นคนที่ไปเซ็กคลับอยู่เป็นประจำ คนที่สองมีปานรูปลาตรงก้น ติดฝิ่น และคนสุดท้ายอย่าง ฮิวโก้ ที่แคโรลินเคยทำงานด้วย ตัวของแคโรลินก็ขอให้วลาดหาเซฟเฮาส์ให้เธอ พร้อมกับออฟฟิศต่างๆ จนกระทั่งไปเจอหนูตายอยู่ตู้เก็บแก้วของเธอ นั่นอาจจะสื่อถือสิ่งที่แคโรลินเคยเป็น เหมือนที่ได้บอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่านั่นคือสิ่งที่เธอได้จากการเป็นหนูปากโป้งนั่นเอง
แต่ในคืนนั้น ขณะที่แคโรลินและวลาดไปทานข้าวด้วยกัน ผู้หญิงที่มีปานถูกพบเป็นศพเมื่อชั่วโมงก่อน แคโรลินดูเหมือนจะไม่ค่อยโอเคกับสิ่งที่ได้ยิน บางทีเธออาจจะไม่พร้อมที่จะกลับมาลงสนามจริงๆ ก็เป็นได้
Villanelle ณ แคมป์ และการกลับมาของจีซัสแดรก
หลังจากที่วิลลาแนลล์พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง และได้รับพิธีล้างในเอพิโสดที่แล้วนั้น ในคราวนี้ เธอและเหล่าสัตบุรุษในโบสถ์แห่งนั้น ก็พากันเดินทางไปยังแคมป์ที่เฮเมลเฮมพ์สเตด ทางตะวันตกเฉียงเหนือของลอนดอน บนรถบัสก็ได้มีการเล่นเกมกันด้วย
- คำถามสี่สิบห้าก็คือ พระเจ้าสร้างสัตว์น้ำและสัตว์ปีกวันไหน (ตอบ: วันที่ห้า จากหนังสือปฐมกาล 1:20-23)
- คำถามที่สี่สิบหก ใครที่เป็นคนฆ่าสิเสราด้วยการแทงเขาเข้ากับหมุดเต๊นท์ที่ศีรษะ (ตอบ: ยาเอล (Jael หรือ Yael) จากหนังสือผู้วินิจฉัย 4:21)
- คำถามที่สี่สิบเจ็ด ใน ยอห์น 11:35 พระเยซูทรงกันแสง ทำไมถึงร้องไห้ (ตอบ: เพราะลาซารัสตาย)
แต่ถึงจุดหนึ่ง วิลลาแนลล์ก็ลุกขึ้นไปแย่งไมค์แล้วพูดถึงบทที่ 15 ข้อที่ 7 ของลูกา ที่บอกว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีในสวรรค์เรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่ มากกว่าเรื่องคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ยอมกลับใจ” ซึ่งเนื้อหาในส่วนนี้ ในพระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องแกะที่หายไป แม้จะมีแกะเป็นร้อยตัว แต่เมื่อแกะตัวหนึ่งหายไป เจ้าของแกะก็ออกตามหาจนพบ และแบกกลับมาอย่างดีใจ อีกทั้งยังป่าวประกาศบอกเพื่อนบ้านอีกด้วย
วิลลาแนลล์เองก็คงจะมองว่าตัวเองเป็นแกะที่หลงทาง และการที่ได้เข้ามาในชุมชนแห่งนี้ ก็เหมือนกับว่าพระเจ้าได้โอบกอดเธอเข้าไว้แล้ว แม้ว่าเธอจะทำผิดพลาดมามากก็ตาม การที่เธอพยายามพูดแบบนั้น ก็เพื่อจะขอให้เมย์ยกโทษให้ แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล เธอจึงต้องพุ่งตรงเข้าไปเพื่อทำการอธิบาย แน่นอนว่าวิลลาแนลล์ไม่ชอบความรู้สึกค้างคา และไม่ชอบความรู้สึกที่โดนเหยียดหยามจากการที่เมย์บอกพ่อของเธอ ฟิล ว่าจะไม่นอนเต๊นท์เดียวกับวิลลาแนลล์นั่นเอง
พระเยซูของวิลลาแนลล์ก็กลับมาอีกครั้ง ในเอพิโสดนี้ก็ได้เฉลยแล้วว่า เขาคือกูรูด้านจิตวิญญาณของวิลลาแนลล์ และสาเหตุที่จีซัสเหมือนวิลลาแนลล์ขนาดนี้ จีซัสก็ได้บอกว่า ประสบการณ์ของแต่ละคนที่ได้พบกับพระเจ้านั้นไม่เหมือนกัน แต่สำหรับวิลลลาแนลล์ จีซัสมาในรูปแบบของวิลลาแนลล์ในร่างแดรก และพยายามที่จะผลักดันวิลลาแนลล์ให้เข้าไปหาเมย์ พูดให้ฟิลคล้อยตาม เพราะถ้าเกิดเมย์เข้าใจวิลลาแนลล์แล้ว ก็สามารถชวนให้คนอื่นไหลตามไปได้ง่ายยิ่งกว่าเดิม
แต่วิลลาแนลล์ก็ไม่ยอมแพ้ เธอเข้าไปพูดคุยกับเมย์อีกครั้งหนึ่งที่เต๊นท์ และพยายามบอกว่าเธอเป็นคนเลวมาก่อน ที่พยายามจะเป็นคนดี สิ่งต่างๆ ที่เธอทำ แม้มันจะดูอันตราย ดูร้ายแรงสำหรับเมย์ แต่นั่นคือก้าวใหญ่สำหรับวิลลาแนลล์ ในการพยายามที่จะเป็นในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เธอเคยเป็นมาก่อน และการที่เมย์ยังมีชีวิตอยู่ เท่ากับว่าสิ่งที่เธอกำลังทำนั้นมันมีพัฒนาการ มันเวิร์ก แถมวิลลาแนลล์ยังบอกด้วยว่า ต้องขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เธอได้อยู่ใกล้ๆ คนแบบเมย์
หลังจากที่วิลลาแนลล์พยายามบอกกับเมย์ และนั่นก็ได้ผล เมย์พยายามที่จะหาทางช่วยวิลลาแนลล์ให้กลายเป็นคนที่ดีอย่างที่เธอต้องการ และเมื่อเมย์เริ่มเอ่ยปากพูดถึงสิ่งที่ฟิล พ่อของตัวเอง เคยทำมา นั่นก็อาจจะทำให้วิลลาแนลล์คิดอะไรบางอย่างไร และเพื่อให้เธอรู้ถึงความลับนั้น เธอก็พร้อมที่จะเก็บรายละเอียดเหล่านั้นมา โดยเฉพาะตอนที่บอกว่า ฟิลฆ่าแม่ของเมย์เพราะเมาแล้วขับ เพื่อให้ตัวเองได้เป็นเหมือนฟิล และอาจจะบอกว่าเป็นที่ชื่นชอบอย่างฟิล เธอก็เลยตัดสินใจว่าถ้าหากเธอเผยความลับนั้นออกไป จะทำให้เธอกลายเป็นคนที่เป็นที่ต้องการอีกครั้งหนึ่ง
แต่สำหรับการกระทำของวิลลาแนลล์ ก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อสิ่งต่างๆ และคำพูดของจีซัส ก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาเพราะสิ่งที่อยู่ในหัวของวิลลาแนลล์ และยังได้มีการอ้างไบเบิลในตอนที่พระเยซูเดินทางไปถึงเมืองเก-ราซา แล้วมีชายที่ถูกปีศาจสิง วิ่งมาหมอบกราบแล้วขออย่าให้สั่งผีเหล่านั้นกลับไปยังนรกขุมที่ลึกที่สุด โดยขอให้พวกมันได้เข้าสิงฝูงสุกร แล้วฝูงสุกรเหล่านั้นก็วิ่งกระโดดจากหนักผาลงไปยังทะเลสาบแล้วสำลักน้ำตาย แต่ชาวเมืองกลับกลัวมาก พระเยซูเลยตัดสินใจนั่งเรือกลับออกไป (สามารถเทียบได้ทั้งพระวรสารนักบุญลูกา 8:26-39, มาระโก 5:1-20 และมัทธิว 8:28-34) จีซัสของวิลลาแนลล์บอกว่า คนชอบเรื่องนี้กันมาก และพวกเขาก็จะรักวิลลาแนลล์เช่นกัน แต่จีซัสแดรกลืมบอกไปว่า การที่วิลลาแนลล์จะไปช่วยคนเหล่านั้นจากฟิลก็จะทำให้พวกเขากลัวเธอและเธอก็ต้องออกจากชุมชนแห่งนั้นไป เช่นเดียวกันกับสิ่งที่เธอเคยทำ แต่สุดท้ายแล้ว วิลลาแนลล์กลับโดนพวกเขาเกลียดยิ่งกว่าเดิม
และความพยายามก็มาถึงจุดที่เปราะบางมากที่สุด ก็คือตอนที่วิลลาแนลล์ได้ยินเมย์และฟิลคุยกัน โดยเฉพาะเมย์ที่บอกฟิลว่า ตอนนี้เธอคิดว่าคงไม่มีใครที่จะสามารถรักวิลลาแนลล์ได้ และการที่บอกว่า วิลลาแนลล์เป็นปีศาจ ก็คือฟางเส้นสุดท้ายของการพยายามอย่างหนักหน่วงที่จะไม่ฆ่าใคร แต่การที่ถูกปฏิเสธมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า การที่ถูกมองว่าเป็นมอนสเตอร์บ้าง เป็นปีศาจบ้าง ล้วนแล้วแต่ทำให้เธอเจ็บปวด ยิ่งคำปฏิเสธจากคนที่เธอคิดว่าพวกเขาเข้าใจเธอ ไม่ว่าจะเป็นอีฟ แม่ ครอบครัวของเธอ เดอะทเวลฟ์ หรือจะเป็นอีฟ (อีกครั้ง) ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่า เธอไม่มีทางที่จะเปลี่ยนตัวเองได้ จนทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นคง
นอกจากนี้แล้ว การตรึงจีซัสแดรกไว้กับพื้น และไม่สามารถจัดการจนสำเร็จได้ นั่นอาจจะหมายความว่า วิลลาแนลล์พยายามแล้วจริงๆ ที่จะไม่ทำสิ่งนั้น พยายามที่จะไม่ฆ่าคน และความรู้สึกที่อยู่ในหัวของเธอก็คือความไม่มั่นคง
Q&A กับ Jodie Comer และ Sandra On
• Jodie Comer กับการแต่ง Drag Jesus
โจดี้บอกกับ Town and Country ว่า ประสบการณ์ตอนนั้นเป็นภาพเบลอมากๆ เพราะว่าตอนนั้นถ่ายทำช่วงท้ายๆ ของวันเลย “คือการแต่งหน้าเป็น Drag Jesus มันค่อนข้างจะกินเวลามากๆ เลย บางครั้งเราก็มีเวลาแค่เพียงชั่วโมงเดียวในการถ่ายแบบใกล้ๆ ด้วย หลายๆ อย่างที่ทำได้ก็คือมันจะต้องมีความหรูหราแล้วก็เกิดจริงอยู่ในนั้นด้วย”
โจดี้ยังบอกอีกด้วยว่า นั่นมันเหมือนกับการจินตนาการถึงส่วนที่เลวร้ายที่สุดของวิลลาแนลล์ ที่มันพยายามจะหล่อและล่อเธอ แต่ก็พยายามที่จะถ่ายทอดออกมาด้วยว่า เธอได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้ “อย่างตอนจบของเอพิโสดที่สองที่มีเรื่องหน่อย มันค่อนข้างที่จะสะเทือนอารมณ์มากๆ เลยนะ ที่เห็นเธอต้องต่อสู้กับตัวเองในด้านนั้น แล้วคอสตูมก็สวยมากด้วย”
• แฟชั่นของ Villanelle
แน่นอนว่าแฟชั่นของวิลลาแนลล์เป็นสิ่งที่แฟนๆ หลายคนเฝ้ารอกันอย่างตลอด แต่สำหรับในตอนนี้ วิลลาแนลล์ของเราสวมถุงเท้ากับรองเท้าแตะและเสื้อยืดกับกางเกง ดูไม่เหมือนกับวิลลาแนลล์คนเก่า แต่โจดี้บอกว่า วิลลาแนลล์น่ะ อยู่ตรงนั้นมานานจนไม่สนใจไอ้พวกแฟชั่นเท่าไหร่แล้ว แต่ว่าจะได้พวกถุงเท้าสุดหนานุ่มกับรองเท้าแตะรัดส้นมาแทน
ซานดร้าก็ได้บอกว่า “มันค่อนข้างที่จะบาลานซ์ด้วยนะ เพราะว่าอีฟก็หยิบเอาบางอย่างจากวิลลาแนลล์ไป อย่างเรื่องของการสวมบทบาท การปลอมตัว แล้วเพิ่มด้วยแฟชั่นที่มีความเป็นวิลลาแนลล์มากขึ้นด้วย มันมีบางอย่างที่สมดุลมากขึ้น แม้กระทั่งในคอสตูมตัวละครของพวกเรา”
• วิลลาแนลล์กับการรับพิธีล้าง
สำหรับการเข้ารับพิธีล้างของวิลลาแนลล์นั้นถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ ขนาดโจดี้เองก็ยังบอกว่าเส้นเรื่องนั้นมันน่าจะลึงมากๆ “ฉันแบบ โอเค นี่มันขอบเขตใหม่เลย คือมันสมเหตุสมผลนะ ที่เธอต้องยอมจำนนต่อมุมมองของคนอื่นที่มีต่อเธอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอก็คงไม่สนใจหรอก แต่พอเธอรู้สึกว่าโดนแต่พอเธอรู้สึกโดนกด โดนคนอื่นบอกว่าเธอแย่แค่ไหน และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ โดยเฉพาะในซีซั่น 3 กับแม่เธอเธอนั่นแหละ นั่นทำให้เธอเคว้งเลยนะ เพราะงั้น เธอก็เลยมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าพวกเขาน่ะผิด” เธอยังบอกต่อว่า “วิลลาแนลล์ต้องเผชิญกับด้านที่เลวร้ายของตัวเองจนไม่สามารถหนีจากมันได้ และอย่างที่ฉันบอกเสมอว่า เธอคือศัตรูตัวฉกาจที่สุดของเธอเอง และฉันรู้สึกว่า เธอก็จะเป็นคนที่เข้ามาขวางทางตัวเองในที่สุด คุณไม่สามารถหนีตัวเองได้พ้นหรอก”
ซานดร้าบอกว่าในซีซั่นนี้ เราจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหลากหลายด้านเลย จะเห็นทั้งอีฟและวิลลาแนลล์กำลังต่อสู้กับมัน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายนอกหรือภายในก็ตาม “สำหรับอีฟ ฉันชอบในช่วงตอนต้นของซีซั่นสี่นะ เราจะเห็นว่าในด้านร่างกายของอีฟมีการเปลี่ยนแปลง เห็นได้จากการยิงครั้งแรกเลย เธอกำลังทำในสิ่งที่ฉันรู้สึกเหมือนคุณหวังไว้เสมอว่าเธอจะทำและเธอมีมันอยู่ในตัว และในตอนนี้เราก็ได้เห็นมันแล้ว คุณถึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพของอีฟ แต่สำหรับวิลลาแนลล์ เธออยู่ในจุดที่แตกต่างออกไป เธอกำลังทำพิธีกรรมอยู่จริงๆ แต่ก็มีบางอย่างนั่นแหละที่ไม่จำเป็นสำหรับตัวของเธอ”
โจดี้เสริมต่อเลยว่า “ฉันไม่คิดว่านั่นจะมาจากความจริงใจนะ เธอเห็นพลังบางอย่างในศาสนจักร ในความสนใจของนักบวชคนนี้ ที่ทำให้มีคนฟังและเอาคำแนะนำของเขาไปใช้ เขามีพลังและสามารถควบคุมได้ เพราะงั้น เหตุผลที่เธอทำแบบนั้นก็เลยเปลี่ยนไปได้ง่ายมาก เพราะเธอต้องการที่จะเป็นคนดี และการเป็นคนดีก็เป็นเรื่องที่สามารถควบคุมได้ ฉันรู้สึกว่าการควบคุมเป็นส่วนสำคัญของวิลลาแนลล์มาตลอด เพราะเมื่อเธอรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอะไรต่างๆ ได้ ก็จะเป็นช่วยที่เธอรู้สึกไม่มั่นคง”
• ความสัมพันธ์ระหว่างอีฟและเฮเลน
อย่างที่เห็นกันในเอพิโสดสองที่อีฟเดินทางไปเยือนหน้าประตูบ้านของเฮเลนในปารีส นั่นถือเป็นการเผชิญหาที่ค่อนข้างจะตึงเครียดด้วย แต่มันไม่ได้อยู่ในจุดเดียวกันกับอีฟและวิลลาแนลล์ ซานดร้าบอกว่า “มันไม่มีอะไรที่จะมาแทนที่หรือสามารถแทนที่วิลลาแนลล์และอีฟได้ เพียงแต่คุณก็จะต้องมีการซ้อมและเล่นเกมอำนาจระหว่างอีฟและเฮเลนด้วย”
• การเปลี่ยนแปลงของอีฟ โพลาสทรี
ซานดร้าบอกกับ AUGUSTMAN ว่า “ในซีซั่นแรก เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการค้นพบของเธอ ความตื่นเต้นและพลังงานที่วิลลาแนลล์นำมาให้กับเธอ และในตอนจบซีซั่นแรก เราจะเห็นว่าอีฟกำลังจะเดินทางต่อไปในเส้นทางนี้ ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนซีซั่นอื่นๆ ที่เหลือ ในซีซั่นสองเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีที่เธอกลัว ซีซั่นสามเป็นวิธีการที่เธอหลีกเลี่ยง แต่ในทุกๆ ตอน เธอกลับดึงมันเข้ามาหาตัวของเธอเอง และในซีซั่นสุดท้าย คือการที่เธอไม่หลีกเลี่ยงมัน เธอกำลังพบกับมัน เธอต้องการที่จะพบและกำจัดมัน หรือพบกับมันและผลักดันมัน หรือพบกับมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีฟตระหนักถึงจุดนี้ว่ามันจะพาเธอไปยังจุดจบของเธอ และเธอสามารถทำได้กับแค่วิลลาแนลล์เท่านั้น และนั่นคือการเติบโตจากความกลัว การหลีกเลี่ยง การปฏิเสธ การยอมรับ การโอบรับ และการผสานกันอย่างลงตัว“
รีแคป Killing Eve Season 4 Episode 1 “Just Dunk Me”
รีแคป Killing Eve Season 4 Episode 3 “A Rainbow in Beige Boots”
รีแคป Killing Eve Season 4 Episode 4 “It’s Agony and I’m Ravenous”
Sources:
- https://tvline.com/2022/03/06/killing-eve-recap-season-4-episode-2-sandra-oh-interview/
- https://www.augustman.com/my/culture/film-tv/as-killing-even-season-4-arrives-sandra-oh-reflects-on-her-character-and-the-culmination-of-the-series/
- https://www.townandcountrymag.com/leisure/arts-and-culture/a39329405/killing-eve-villanelle-drag-jesus-sandra-oh-jodie-comer-interview/