กว่าจะมาเป็น Materialists รักแบบไหนที่ใจตามหา เข้าฉาย 28 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

| |

เมื่อสิบปีก่อน ขณะที่ Celine Song ยังเป็นนักเขียนบทละครที่กำลังดิ้นรนหาโอกาส เธอก็ติดอยู่ในช่วงเวลาสุดท้าทายที่ศิลปินในนิวยอร์กแทบทุกคนต้องเจอ การหางานประจำ มันยากกว่าที่คิดไว้มาก และในที่สุดเธอก็พบว่าตัวเองไปอยู่ในที่ที่คาดไม่ถึงที่สุด ซงไปสมัครงานเป็นบาริสต้าก็ไม่มีใครจ้าง หรือแม้แต่งานสแกนสินค้าตามร้านค้าปลีกก็ยังถูกปฏิเสธ แต่หลังจากได้รับคำแนะนำในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่ง เธอกลับได้กลายมาเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงความปรารถนาและอุดมคติที่ลึกที่สุดของผู้คน เธอเริ่มทำงานเป็น แม่สื่อ

Materialists ภาพยนตร์เรื่องที่สองของซง — ตรงไปตรงมา อ่อนไหว และเหนือสิ่งอื่นใดคือการสำรวจความขัดแย้งของความรักและการออกเดตในยุคใหม่อย่างซื่อตรงและเจ็บแสบ — ได้แรงบันดาลใจบางส่วนมาจากประสบการณ์ในการช่วยเหลือผู้คนให้หาคู่ที่ใช่ ซึ่งทั้งเปิดเผยและชวนสับสนอย่างยิ่ง

ลูซี่ (รับบทโดย ดาโกต้า จอห์นสัน) ตัวเอกของเรื่อง Materialists ทำงานในบริษัทจัดหาคู่ระดับไฮเอนด์ คล้ายกับงานที่ซงเคยทำ เธอพบกับนักลงทุนและผู้บริหารระดับสูงมากมาย แล้วจับคู่พวกเขากับหนุ่มสาวระดับเดียวกันในเมือง สิ่งที่คนเหล่านี้แสวงหากลายเป็นหน้าต่างที่เผยให้เห็นความจริงที่น่าหวาดหวั่นเกี่ยวกับภาพฝันของชีวิตรักในโลกวัตถุนิยม “ฉันรู้สึกว่าได้เรียนรู้เรื่องคนมากที่สุดในช่วงหกเดือนนั้น มากกว่าช่วงเวลาไหนๆ ในชีวิต” ซงกล่าว

#Materialists | รักที่ใช้ของคุณเป็นแบบไหน?

ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการของเธอจะบอกความต้องการที่ลึกที่สุดของตนออกมาอย่างเกิดเผย ถึงความคาดหวังจากคนที่พวกเขาอยากจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วย ซึ่งหลายครั้งก็บิดเบี้ยวอย่างยิ่ง รายได้หกหลัก สูง 180 และข้อกำหนดอื่นๆ อีกมากมายที่เปิดโปงให้เห็นนิสัยวัตถุนิยมแบบสุดโต่ง ดังที่เจ้านายของลูซี่พูดไว้ในตอนต้นของเรื่องว่า “การเป็นแม่สื่อ เป็นงานที่ใกล้ชิดกับตัวตนของคนมากกว่าการเป็นนักบำบัดเสียอีก”

“สิ่งที่อยู่ในหนังมาจากความจริงที่ฉันได้เรียนรู้” ซงกล่าว “ว่าการออกเดตเต็มไปด้วยการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของกันและกันอย่างขำขื่นและมืดมน และมันกลายเป็นการทำให้คนเรากลายเป็นสินค้า ทั้งที่เป้าหมายคือการตามหารักแท้” เธอได้พบกับผู้คนมากมายที่โหยหาคนที่ “ใช่” เพียงคนเดียวที่จะมาเติมเต็มชีวิต — แต่ในขณะเดียวกันก็ตื้นเขินอย่างสุดขั้วในเรื่องของคุณสมบัตินั้น “แนวคิดของการมีคู่ถูกพูดถึงเหมือนเป็นเรื่องของธุรกิจ” ซงเล่า

“ทั้งหมดมันคือการพยายามเพิ่มมูลค่าในตลาดให้มากที่สุด — ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเทรดเดอร์ในตลาดหุ้น ทั้งที่มันไม่ควรมีอะไรเกี่ยวข้องกับคนที่เราจะใช้ชีวิตด้วยจนตาย แต่วิธีที่ผู้คนพูดถึงคู่ในอุดมคติของพวกเขา กลับเหมือนพูดถึงรถหรือบ้านที่อยากซื้อ คำพูดมันเป๊ะเลย ฉันติดอยู่ในความขัดแย้งนั้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น”

ลูซี่เองก็ยังหาคำตอบให้ความขัดแย้งนั้นไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อเธอต้องเลือกคนที่จะใช้ชีวิตด้วย เธอกลับเลือกใช้ตรรกะและหลักการทางธุรกิจ มากกว่าความเชื่อใน “พรหมลิขิต” ผู้ชายที่ใช่สำหรับเธอคือคนที่ “ติ๊กถูกทุกข้อ” และสำคัญที่สุดคือต้อง “มีทรัพย์สินสุทธิสูง” มุมมองที่ชัดเจนและไร้อารมณ์นี้ ทำให้เธอกลายเป็นแม่สื่อที่เฉียบขาด แต่เมื่อเธอพบ แฮร์รี่ (รับบทโดย เปโดร ปาสคาล) ในงานแต่งงานของคู่ที่เธอเคยจับคู่ได้สำเร็จ เธอก็รู้ทันทีว่าเขาเป็น “ยูนิคอร์น” ตัวจริง — เขาสูง หล่อ สุภาพ และที่สำคัญ รวยมาก แฮร์รี่คือนิยามของ “ของดี” สำหรับลูกค้าของลูซี่ แต่เขากลับสนใจตัวลูซี่มากกว่า

ฉากโรแมนติกของทั้งสองที่งานแต่งกลับถูกขัดจังหวะด้วยการปรากฏตัวของ จอห์น (รับบทโดย คริส อีแวนส์) พนักงานเสิร์ฟและนักแสดงโนเนมที่กำลังลำบากทางการเงิน แต่อยู่ดีๆ ก็เหมือนสามารถทลายเปลือกที่ลูซี่เคยสร้างไว้ได้ทันที ความรู้สึกว่าทั้งสองมีอดีตร่วมกันอย่างลึกซึ้งนั้นชัดเจน ลูซี่อาจช่วยให้ลูกค้าของเธอได้พบรัก แต่จอห์นอาจเป็นคนที่เคยทำให้เธอรู้จักความรักครั้งแรกก็เป็นได้

ตัวอย่างภาพยนตร์ #MATERIALISTS [Official - Sub Thai]

ภาพยนตร์ของซงไม่ได้พูดถึงแค่รักสามเส้า แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีผู้ชายสองคนเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตของลูซี่ แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องของรักสามเส้า หากแต่เป็นการมองอย่างตรงไปตรงมาและเจ็บแสบถึงคำถามสำคัญระดับสากล: เราเลือกคนที่จะใช้ชีวิตด้วยตลอดไปอย่างไร ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นงานต่อเนื่องจาก Past Lives ที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ และยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าเซลีน ซง คือผู้สังเกตการณ์ที่เฉียบคมต่อความขัดแย้งและความรู้สึกที่ซับซ้อนเกินจะอธิบายได้ของชีวิตร่วมสมัย

“ฉันอยากพูดตรงๆ เกี่ยวกับการออกเดต อยากพูดตรงๆ เกี่ยวกับความรัก” ซงกล่าว “ไม่ใช่พูดอ้อมๆ หรือสร้างนิยายเพ้อฝันเพื่อหลบหนีความจริง” ในแบบนี้เอง Materialists จึงกลายเป็นภาพยนตร์รักยุคใหม่ที่ทั้งสดใหม่และแทบจะน่าหวาดหวั่น — มันแอบรื้อถอนสูตรสำเร็จของหนังรักอย่างเงียบๆ ก่อนจะประกอบมันขึ้นมาใหม่ในรูปแบบของตัวเอง ภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้หรือดราม่าเกี่ยวกับความรักส่วนใหญ่มักจะทำให้เราตกหลุมรักความหวานชวนฝันของชีวิตคู่ในเมืองใหญ่ ขณะที่ซีรีส์อย่าง Sex and the City ก็พยายามเผยเบื้องหลังของโลกแห่งการออกเดต แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ของซง กลับชัดเจนกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมา เพราะมันกล้าที่จะลากเส้นแบ่งระหว่างโลกของความฝันกับความจริง — และเผยให้เห็นความย้อนแย้งของมันอย่างสิ้นเชิง

“หนังเรื่องนี้ว่าด้วยการหาความรักที่ยั่งยืน ที่จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ระยะยาว — ท่ามกลางเศรษฐกิจของโลกการออกเดต” ซงกล่าว “แล้วเราจะอยู่รอดได้ยังไง?” จะเรียกว่า “ความรักในยุคของแอปรายา (Raya)” หรือยุคที่ทุกคนต่างพยายามอัปเกรดตัวเองให้สมบูรณ์แบบไปเรื่อยๆ หากภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากความจริงที่ซงเคยเห็นเมื่อสิบปีก่อน ปัจจุบัน “เช็กลิสต์ความรัก” ของผู้คนยิ่งดูตื้นเขินขึ้นทุกวัน โลกที่เราหาคู่ผ่านโปรไฟล์และการปัดหน้าจอไม่รู้จบ ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ดูเหมือนธุรกิจเข้าไปทุกที

“ความรักมันไม่มีสูตรคำนวณที่ลงตัวได้หรอก และความย้อนแย้งของสิ่งนั้นก็คือหัวใจของหนังเรื่องนี้” ซงกล่าว “หนังเรื่องนี้พูดถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และความลึกลับ — ซึ่งก็คือ ความรัก นั่นเอง”

สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือคำตอบที่ซงมีต่อความย้อนแย้งนั้น: แม้หนังจะเปิดโปงโลกของความรักด้วยสายตาที่เฉียบคม แต่ก็ไม่เคยเย้ยหยันความรู้สึกของมนุษย์ ตรงกันข้าม มันยังคงโอบกอดศรัทธาที่เปราะบางที่สุดของเราต่อ “ความลึกลับ” ที่เรียกว่าความรัก

“มันคือคำพูดของพ่อของแฮร์รี่ในงานแต่ง — ความรักคือศาสนาสุดท้าย คือประเทศสุดท้าย คืออุดมการณ์สุดท้ายที่ยังรอดอยู่” ซงกล่าว โดยอ้างถึงฉากต้นเรื่อง “ทุกคนล้วนมีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตรักของตัวเอง สำหรับฉัน นั่นคือบทสนทนาที่น่าสนใจที่สุดเท่าที่เคยมีมา ถ้าอยากรู้จักใครสักคนจริงๆ ให้ถามว่าเขามีมุมมองต่อความรักยังไง”

Materialists รักแบบไหนที่ใจตามหา เข้าฉาย 28 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

ตัวอย่างภาพยนตร์ #Materialists [Official - Sub Thai]
Previous

[Review] Mayer Hawthorne Live in Bangkok 2025 บทเพลงนำพาความทรงจำอันสวยงาม

Water From Your Eyes ปล่อยอัลบั้ม It’s A Beautiful Place สำรวจความงดงามของโลกรอบตัว

Next