The Beaches ปล่อยอัลบั้มใหม่ ‘No Hard Feelings’ บทเพลงแห่งความร้าวรานและความหวังของหัวใจเควียร์

| |

The Beaches วงร็อกหญิงล้วนจากโตรอนโต กลับมาพร้อมกับอัลบั้มที่สามที่ทุกคนตั้งตารอ ด้วยอัลบั้มที่มีชื่อว่า ‘No Hard Feelings’ ที่ไม่ได้แค่เพียงต่อยอดความสำเร็จจากเพลงฮิตระดับโลกอย่างเพลง ‘Blame Brett’ เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดเผยตัวตนที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นอีกด้วย

อัลบั้ม ‘No Hard Feelings’ เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความสับสน และความหวังที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานที่ล้นเหลือ และพวกเขาใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการสำรวจเรื่องราวต่างๆ การค้นพบตัวตน และการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองและคนรอบข้าง ได้บรรจุอัดแน่นอยู่ในอัลบั้มที่สามของพวกเขา

The Beaches - Can I Call You in the Morning?

ในอัลบั้มนี้เริ่มต้นด้วยเพลง ‘Can I Call You in The Morning?’ เพลงที่จุดประกายความวุ่นวายของอัลบั้มนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยเนื้อเพลงที่ตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธและสับสน สะท้อนถึงความรู้สึกที่หลากหลายในความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงที่หลายๆ คนอาจจะเคยประสบพบเจอ

I liked your old band
but not the new songs
should we just break up then?
Nevermind I don’t mean that
I’m sorry
can I call you in the morning?

Jordan Miller นักร้องนำของวงกล่าวว่า “เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์ของ Kylie Miller (มือกีตาร์) ที่มักจะโทรหาแฟนเก่าหลังจากเลิกกันเพื่อระบายความคับข้องใจหลังจากดื่มหนัก ก่อนที่จะกลับมาขอโทษและยกเลิกคำพูดทั้งหมดในทันที เพลงนี้จึงเป็นตัวแทนของความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและทำหน้าที่ปลุกพลังของอัลบั้มได้อย่างดีเยี่ยม

The Beaches - Jocelyn

ในส่วนของซิงเกิลแรกของอัลบั้มที่พวกเขาได้ปล่อยออกมาอย่างเพลง ‘Jocelyn’ ที่ปล่อยออกมาให้ฟังตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 เป็นเพลงที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ Imposter Syndrome และความไม่มั่นคงหลังจากที่พวกเขาประสบความสำเร็จในเพลง Blame Brett ที่กลายเป็นไวรัลฮิตอยู่ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งเพลง Jocelyn เป็นเพลงที่ทางวงใช้สำรวจความเปราะบางของพวกเขา เมื่อเผชิญหน้ากับชื่อเสียงและความคาดหวัง ในขณะที่ต้องรับมือการที่พวกเขาสงสัยในตัวเองด้วยเช่นกัน

จอร์แดนกล่าวว่า “เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจโดยตรงจากชีวิตของพวกเราที่เปลี่ยนไปหลังจากเพลง Blame Brett กลายเป็นเพลงฮิตไวรัล คือฉันยังอยู่ในช่วงที่เศร้าและเปราะบางมากๆ รวมถึงปาร์ตี้หนักมากด้วย แฟนๆ เรียกเราว่าเป็นโรลโมเดล แต่ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย ฉันไม่อยากโดนเรียกแบบนั้น เพราะงั้น มันก็เลยเป็นการใช้ชีวิตร่วมกันที่ขัดแย้งกันในตัว ระหว่างการประสบความสำเร็จในแง่ของอาชีพการงาน แต่ชีวิตส่วนตัวกลับไม่รู้สึกมั่นใจในตัวเองเลย ก็เลยอยากที่จะเขียนเพลงเกี่ยวกับสิ่งนี้ที่เกิดขึ้น”

สำหรับชื่อเพลงที่ว่า Jocelyn พวกเขาได้ไอเดียมาจากการที่พวกเขาพบว่ามีแฟนเพลงคนหนึ่งที่ติดตามวงใน Instagram แล้วชื่อ Jocelyn จริงๆ “พวกเราเจอแฟนเพลงคนนึงที่อยู่ในสมาคมนักศึกษาหญิง ที่มหาวิทยาลัยในไอโอวา พวกเราได้แรงบันดาลใจจากเธอหลายอย่าง แถมยังเพิ่มได้ปริญญาเอกด้วย เธอฉลาดแล้วก็สวยมากๆ อีกอย่างเธอยังชอบวงพวกเราด้วย ฉันก็ยังคงหวังว่าเธอจะยังติดตามพวกเราอยู่หลังจากที่เพลงนี้ออกมานะ”

Kylie Miller มือกีตาร์ของวงได้เสริมในประเด็นนี้ด้วยว่า “คือเมื่อคุณรู้สึกตกต่ำมาก แต่ว่าคนอื่นมองว่าคุณเป็นไอดอล มันเป็นเรื่องแปลกมาก แล้วพวกเราก็อยากเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์นั้น เพราะว่าแม้แต่ไอดอลของคุณก็อาจจะมีข้อบกพร่องได้นะ คือมันรู้สึกดีที่ได้เจอคนที่รักคุณ แล้วก็ได้รู้ว่าพวกเขากำลังเผชิญกับอะไรอยู่” เนื้อหาเพลงนี้จึงเป็นการนำเสนอความเปราะบางที่แท้จริง และแสดงให้เห็นว่าแม้แต่วงดนตรีที่โด่งดังก็ยังคงมีความรู้สึกไม่มั่นคงได้เช่นกัน

What do you even see in me, Jocelyn?
Why do you still look up at me Jocelyn?
You just got your PhD in Politics
And I’m just phoning it in

ในท่อนคอรัสของเพลงนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะได้รับความชื่นชมมากเพียงใด แต่ก็ยังคงมีความเป็นมนุษย์ที่เปราะบางอยู่เบื้องหลัง ความรู้สึกที่ต้องดิ้นรนกับความสำเร็จของตัวเองแม้จะได้รับการยอมรับจากภายนอก และความรู้สึกไม่สบายใจที่รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความคาดหวังของคนที่มองเราเป็นแบบอย่าง

The Beaches - Did I Say Too Much (Lyric Video)

ต่อมาคือเพลง “Did I Say Too Much” ที่วงอธิบายเองว่าเป็นเรื่องราวของการก้าวผ่านความเจ็บปวดจากความรักของเควียร์ที่มีความซับซ้อนหลายชั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของการเลิกรา แต่เป็นการสำรวจความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยสัญญาณที่ไม่ชัดเจน (situationship) ทางวงเล่าว่าเพลงนี้ “เพลงนี้พูดถึงการก้าวเข้าไปในความสัมพันธ์แบบเปิดโดยที่ไม่มีความคาดหวังใดๆ เลย แต่กลับตกหลุมรักอย่างจัง มันคือความเข้มข้นของการแบ่งปันความรู้สึกที่ลึกที่สุดของคุณ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ได้ถูกสร้างมาให้คงอยู่ตลอดไป และความเจ็บปวดที่ตระหนักได้ว่าคุณอาจจะพูดมากเกินไป” นี่คือบทเพลงที่พูดแทนใจคนเควียร์มากมายที่เคยตกอยู่ในวังวนของความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกนิยามแต่กลับเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

The Beaches - Touch Myself (Lyric Video)

ความเปราะบางของอัลบั้มนี้เริ่มเผยออกมาในเพลง “Touch Myself” ซึ่งถูกนิยามว่าเป็นเพลงอกหักที่สมบูรณ์แบบสำหรับเปิดฟังในรถและตะโกนร้องตามแม้จะฟังดูมีพลังงานขับเคลื่อนด้วยกีตาร์ที่เด้งดึ๋ง แต่เนื้อหาภายในกลับตรงกันข้าม Jordan Miller สารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่าความเศร้าโศกจากความสัมพันธ์ที่จบลงนั้นลึกซึ้งเพียงใด มันแทรกซึมไปในส่วนที่ส่วนตัวที่สุดของชีวิตและทำให้รู้สึกยับเยินอย่างสิ้นเชิง

ทางวงอธิบายว่า “’Touch Myself’ เป็นเพลงเกี่ยวกับความรู้สึกอกหักอย่างหนักจนไม่สามารถสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองได้ เพราะเมื่อทำแล้ว มันก็จะทำให้คิดถึงแต่แฟนเก่า มันเป็นเรื่องราวว่าความเศร้าโศกสามารถแทรกซึมเข้ามาในส่วนที่ส่วนตัวที่สุดในชีวิตของคุณ และทิ้งให้คุณรู้สึกยับยันได้แค่ไหน” ซึ่งความรู้สึกนี้ไม่ใช่แค่เรื่องทั่วไป แต่สะท้อนความเจ็บปวดที่ลึกซึ้งจนกระทบต่อความเป็นส่วนตัวอย่างที่สุด

The Beaches - Sorry For Your Loss
The Beaches - Fine, Let's Get Married

ส่วนเพลงอย่าง “Sorry For Your Loss” แสดงความแสบสันของวงด้วยการพลิกมุมมองจากผู้ถูกกระทำเป็นผู้กระทำ ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงอกหักที่เต็มไปด้วยความสะใจและซับซ้อน ขณะที่ “Fine, Let’s Get Married” ใช้การเสียดสีในการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงแต่กลับคิดจะแต่งงานกันด้วยเหตุผลที่ไร้สาระ เช่น “needing something to do” ซึ่งสะท้อนความเบื่อหน่ายได้อย่างเจ็บแสบ

อัลบั้มนี้ยังเจาะลึกไปที่การสำรวจตัวตนของสมาชิกวงเอง โดยเฉพาะในเพลง Lesbian of the Year ที่มาจากมุมมองของ Leandra Earl มือกีตาร์ของวง เพลงนี้เป็นบทเพลงที่สงบและลึกซึ้งที่สุดเพลงหนึ่งในอัลบั้ม เล่าถึงการค้นพบตัวตนเควียร์ของตัวเองที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานในชีวิต และความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนที่มาพร้อมกับการทำความเข้าใจตัวตนนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทรงพลังและน่าประทับใจสำหรับแฟนเพลงเควียร์ 

The Beaches - Lesbian Of The Year (Official Visualizer)
The Beaches - Last Girls At The Party (Live on Inas Nacht)

และปิดท้ายด้วยเพลง “Last Girls at the Party” ที่ Kylie Miller อธิบายว่าเป็นเพลงที่ “เกี่ยวกับการเป็นคนสายปาร์ตี้ที่วุ่นวายและยอมรับในความเป็นคนแบบนั้น” เพลงนี้เป็นเหมือนเพลงสรรเสริญมิตรภาพในกลุ่มของพวกเขาเอง ซึ่งเป็นธีมที่สำคัญในชุมชน LGBTQ+ นั่นคือการสร้างครอบครัวที่เราเลือกเองเพื่อร่วมเดินทางไปในชีวิตที่เต็มไปด้วยความโกลาหล นอกจากนี้ เพลงนี้ยังถูกนำไปใช้ในซาวด์แทร็กอย่างเป็นทางการของภาพยนตร์ Freakier Friday อีกด้วย

อาจจะเรียกได้ว่า ‘No Hard Feelings’ เป็นอัลบั้มที่ The Beaches ใช้ดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาเป็นเครื่องมือในการสำรวจความรู้สึกที่ซับซ้อนของคนรุ่นใหม่ในฐานะศิลปินเควียร์ แม้ว่าเพลงส่วนใหญ่จะพูดถึงความเจ็บปวด ความสับสน และความไม่มั่นคง แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยพลังและทัศนคติที่กล้าหาญ การที่ The Beaches กล้าที่จะเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา ทำให้พวกเขาเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญ และอัลบั้มนี้ก็เป็นเหมือนการกอดปลอบใจสำหรับทุกคนที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากในความสัมพันธ์ ทำให้ ‘No Hard Feelings’ ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพลงฮิต แต่เป็นอัลบั้มที่พูดแทนความรู้สึกของคนมากมายได้อย่างจริงใจที่สุด

สตรีม No Hard Feelings จาก The Beaches ได้ที่ https://thebeaches.ffm.to/nohardfeelings

Previous

Sabrina Carpenter กลับมาทวงบัลลังก์ควีนอีกครั้งกับอัลบั้มใหม่ Man’s Best Friend ส่งเพลง “Tears” สุดแซ่บ ที่ไม่ได้แปลว่าน้ำตาเสมอไป

Spoon เซอร์ไพรส์แฟนๆ ด้วย 2 เพลงใหม่ “Chateau Blues” และ “Guess I’m Fallin’ In Love”

Next