
“ทำไมต้องท็อกซิกก่อนถึงจะรักกันได้?”
คำถามชวนคิดจาก บีม-ตะวัน ภาณุสิทธิกร ผู้กำกับมากฝีมือที่กล่าวออกมาระหว่างพูดคุยถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของ ‘Queendom The Series ซ่อนใจไว้ที่เธอ’ ซีรีส์แซฟฟิค (Girls Love) ที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ผ่านพล็อตสลับร่าง พร้อมพาผู้ชมออกเดินทางค้นหาตัวตนไปกับตัวละคร
ท่ามกลางสมรภูมิซีรีส์วายทั้งสาย Boys Love และ Girls Love ที่ผู้ผลิตต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อครองทั้งพื้นที่สื่อและหัวใจผู้ชม หลายเรื่องถูกสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก แต่บางเรื่องกลับตั้งใจจะสื่อสารอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น ซึ่ง Queendom ก็เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่มีสารบางอย่างซ่อนอยู่และรอคอยให้ผู้ชมไปพบเจอ
“เธอคือฉัน ฉันคือเธอ”
แท็กไลน์ติดหูที่กลายเป็นซิกเนเจอร์ของเรื่องราวของ ‘เรย์’ และ ‘พริ้น’ คู่แข่งตั้งแต่สมัยเรียนที่โชคชะตาเล่นตลกให้ทั้งสองสลับร่างกันอย่างไม่ทันตั้งตัว เหตุการณ์พิลึกพิลั่นนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราววุ่นๆ ที่ปะปนไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย พร้อมเปิดโอกาสพวกเธอได้ทำความรู้จักตัวเองและเรียนรู้อีกฝ่ายไปพร้อมๆ กัน
ด้วยเนื้อหาที่สดใหม่และลีลาการเล่าเรื่องที่โดดเด่น (แค่โปสเตอร์สีชมพูก็เด่นแล้ว!) ผ่านตัวบทที่คราฟต์ออกมาอย่างธรรมชาติ แถมยังสอดแทรกมุกตลกและการจิกกัดล้อเลียนป็อปคัลเจอร์ในบริบทไทยๆ ให้ผู้ชมได้มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอดทั้งเรื่อง Sapphic Union จึงไม่รอช้าและติดต่อขอพูดคุยกับ บีม-ตะวัน ภาณุสิทธิกร ผู้กำกับสายโฆษณาที่ก้าวเข้าสู่การกำกับซีรีส์ Girls Love ครั้งแรก
การเดินทางของ Queendom The Series จากนวนิยายสู่จอฉายในซีรีส์
Queendom The Series ซ่อนใจไว้ที่เธอ เป็นนวนิยายจากปลายปากกาของ แซลม่อน (@salmonwriting) ก่อนที่ทาง WeTV จะซื้อลิขสิทธิ์มาดัดแปลงเป็นซีรีส์ โดยได้คุณบีมขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับ พาเรย์และพริ้นออกมาจากหน้ากระดาษมามีชีวิตโลดแล่นอยู่บนหน้าจอ ผ่านการแสดงของนักแสดงหน้าใหม่ แพม-ธารดี วัฒนเจริญ (รับบทเป็น พริ้น) และอาฮ๋วง-ณัฐวดี พิภพพรชัย (รับบทเป็น เรย์)
คุณบีมเล่าว่า “บีมเริ่มต้นจากการเป็นผู้กำกับโฆษณา ทำงานมาประมาณ 6-7 ปี ได้กำกับโฆษณาที่เล่าเรื่องหลายรูปแบบ ทั้งแบบสั้นและยาว ถึงแม้ว่างานโฆษณาจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อขาย แต่ด้วยความที่ตัวเราเป็นคนชอบดูหนังมาก (Cinephile) เราเลยพยายามใส่องค์ประกอบต่างๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เข้าไปในงาน เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับผลงานตัวเอง ซึ่งในงานโฆษณาของบีมหลายครั้งมักจะแตะประเด็นเรื่องเพศและความเป็นหญิง ทำให้ พี่เน็ด ทีมโปรดิวเซอร์ของโปรเจกต์นี้สนใจและชวนเรามากำกับซีรีส์แซฟฟิค เพราะเขามีจุดมุ่งหมายว่าอยากให้โปรเจกต์นี้ขับเคลื่อนด้วยผู้หญิงทุกตำแหน่ง รวมถึงอยากได้คนที่มีความหลากหลายมาร่วมงานกัน และพอได้มาทำงานกับทีม Queendom ตัวบีมเองก็ถือว่าได้มุมมองใหม่ๆ จากการทำงานตรงนี้ด้วย
ขั้นตอนในการพัฒนาบทซีรีส์ค่อนข้างซับซ้อน เราได้โครงเรื่องจากนิยายต้นฉบับ ที่ไม่ได้มีรายละเอียดมากนัก แต่ก็เป็นการเปิดโอกาสที่ดีสำหรับทีมเขียนบทในการเติมแต่งจินตนาการเข้าไป เรามีทีม Story Developer 3 คน ช่วยกันระดมความคิดเหมือนเขียนนวนิยายใหม่อีกเรื่องหนึ่ง โดยยึดเนื้อเรื่องหลักจากต้นฉบับ มาดูว่าอยากจะเกิดอะไรขึ้นบ้างโดยรวม เราจะกะเทาะเปลือกตัวละครออกมาในรูปแบบไหน ตั้งแต่ให้ผู้จัดการ ‘วันใหม่’ และ ‘สายฝน’ (แสดงโดย หลิน-มชณต สุวรรณมาศ และแพรว-เฌอมาวีร์ สุวรรณภาณุโชค) เป็นคู่สอง และคู่สามเป็น ‘แฟรงค์’ น้องชายของพริ้นกับ ‘เอื้อ’ เพื่อนนักแสดง (แสดงโดย เจ้านาย-จิรภัส สอดแจ่ม และโนเกีย-ชินวัตร ภัทรธนโชติ)”
การค้นหาตัวตน: หัวใจสำคัญและสารที่ต้องการสื่อผ่านพล็อตสลับร่าง
คุณบีมบอกว่า “สิ่งที่เรามองหาเป็นอันดับแรก คือเราไม่อยากฉายภาพตัวละครแซฟฟิค เลสเบี้ยน หรือเควียร์ที่มีแต่ความท็อกซิก น้ำเน่า ทำไมต้องท็อกซิกก่อนถึงจะรักกันได้ เราอยากให้สารที่สื่อออกมาเป็นความสบายใจ เป็นความสัมพันธ์ที่เฮลท์ตี้ ซึ่งพล็อตสลับร่างมันเข้าได้ดีกับธีมรักตัวเอง (self-love) โดยตรง แต่จริงๆ มันก็เป็นอุปสรรคเหมือนกันนะ เพราะอาฮ๋วงตัวจริงคือพริ้น แพมคือเรย์ (หัวเราะ) เราเลยยื้อการสลับร่างอยู่ให้นานที่สุด แต่สุดท้ายก็ต้องมีช่วงเวลาหลังจากสลับร่างคืนแล้ว เพื่อให้คนดูได้เห็นการเติบโตของตัวละครหลังจากที่ได้ค้นหาตัวเองและได้ทำให้สิ่งที่อยากทำจริงๆ รวมถึงตัวละครได้เรียนรู้อะไรจากกันและกันบ้าง ถือว่าเป็นความท้าทายของทีมเขียนบทเลยว่าเราจะเล่ายังไงให้มันไปถึงจุดนั้น”
นอกจากนี้ ซีรีส์ยังสอดแทรกประเด็นที่สะท้อนความเป็นจริงของผู้หญิงผ่านฉากเล็กๆ ที่ใส่เข้ามาอย่างแนบเนียน “คนดูในทวิตเตอร์พูดและวิเคราะห์ทุกอย่างที่เราตั้งใจจะสื่อออกมาเลย ทั้งเรื่องของการค้นหาตัวตน ประเด็นเรื่องเพศ อุปสรรคของผู้หญิงที่มักถูกมองข้าม เช่น ประจำเดือนที่มาโดยไม่ได้ตั้งตัว หรือการถูกคุกคามจากคนที่ตัวเองเรียกว่าแฟนคลับ ความเก่งของทีมเขียนบทคือใส่ฉากเหล่านั้นเข้ามาในเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติมากๆ”
แรงบันดาลใจจากหนังรอมคอม และความ “เล่นใหญ่” ที่ตั้งใจ
ก่อนถ่าย Queendom เรานึกถึงภาพยนตร์เรื่อง D.E.B.S. (2004) และ Bottoms (2023) ซึ่งมีองค์ประกอบบางอย่างที่เราอยากให้มีในซีรีส์ของเราด้วย ต้องบอกว่าเรื่องนี้ตั้งต้นมาจากภาพยนตร์รอมคอมช่วงปี 2000s แต่พอเจอข้อจำกัดเรื่องงบ เลยแก้ปัญหาด้วยการเล่นใหญ่ไปเลย คือทำให้ให้โทนของเรื่องดูไม่จริง (campiness) ซึ่งมันจะทำให้ซีรีส์ตลกง่ายขึ้น แต่ก็ทำให้เรากังวลเรื่องฉากโรแมนติก เพราะในความไม่จริงพวกนั้น เราจะทำยังไงให้ความสัมพันธ์ของตัวละครดูมีความเป็นมนุษย์มากที่สุด
ความท้าทายเลยเป็นการทำยังไงให้คนดู เชื่อ ว่าตัวละครสองคนรักกันจริงๆ ซึ่งมันต้องเกิดจากเคมีของนักแสดง ทุกอย่างต้องดูเป็นธรรมชาติ อินเนอร์ต้องได้ และเรื่องต้องค่อยๆ ดำเนินไปตามอารมณ์ของเขา ถึงจะได้ฉากโรแมนติกที่เป็นธรรมชาติและคนดูเชื่อในสิ่งที่เห็น
“เธอคือฉัน ฉันคือเธอ” สลับร่างอย่างไรให้รักกันได้
หนึ่งในฉากสำคัญของ Queendom The Series ที่สื่อสารแก่นเรื่องออกมาได้ชัดเจน คือช่วงท้ายของตอนที่ 7 “ช่วงท้ายของตอนที่ 7 ที่พริ้นพูดกับเรย์ว่า “พริ้นเห็นเรย์นะ (I see you)” เป็นฉากที่เล่าแก่นเรื่องได้ชัดเจน ประโยคนี้มันเกิดจากการแก้โจทย์ที่เราคิดไว้ ว่าถ้าคนเราสลับร่างกัน แล้วต้องมารักตัวเองมันจะเป็นไปได้ไหม ทุกคนต้องรู้สึกแปลกแน่นอนว่าชอบหน้าตัวเองไปได้ยังไง เราคิดและเขียนบทหลายแบบมาก สุดท้ายเลยตัดสินใจว่า โอเค งั้นเรามาพูดตรงๆ เลยดีกว่า ว่าถ้าเป็นหน้าเรา เราจะไปรักหน้าตัวเองได้ยังไง สุดท้ายก็ปิ๊งไอเดียจากโจทย์ตั้งต้น ว่าตัวละครไม่ได้มองแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่มองลึกไปถึงจิตใจของอีกคน มันลึกมากพอที่จะมองข้ามเรื่องนี้ (ว่าเป็นร่างตัวเอง) ไปได้ ต้องยกเครดิตให้ทีมเขียนบทเลย

หลังจากประโยค “I see you” ความสัมพันธ์ของตัวละครก็เริ่มขยับไปอีกขั้น โดยเฉพาะในฉากที่มีความใกล้ชิด (intimacy) ซึ่งบีมอธิบายว่าทีมพยายามออกแบบฉากเหล่านี้ให้มีเหตุผลรองรับทุกการกระทำ ไม่ใช่แค่ต้องการเพิ่มความหวือหวาให้คนดู “ส่วนฉากที่มีความใกล้ชิดกัน (intimacy) มันต่อยอดมาจาก I see you นั่นแหละ มันคือครั้งแรกของคู่รัก เราเลยทำให้มันคล้ายกับ mirror acting ไปเลย เหมือนบอกให้อีกคนทำอะไรกับร่างเรา เพราะเราเป็นเจ้าของร่างนั้น เช่น ‘เธอเอามือเราจับหัวไหล่เราสิ’ เลยรู้สึกว่าพอโดนสั่งให้ทำนั่นทำนี่ก็มีความฮอตอยู่เหมือนกัน เหมือนการสัมผัสตัวเอง เลยมีความเซ็กซี่นิดๆ เราพยายามคิดให้มีเหตุผลและมีที่มาที่ไปจริงๆ ไม่ได้อยากแค่ใส่มาเพื่อเซอร์วิสฉากแบบนี้กับคนดู”
อุปสรรคในการถ่ายทำ และความสบายใจเบื้องหลังการทำงาน
เมื่อการถ่ายทำมีหลากหลายรูปแบบและอารมณ์ ความรู้สึกของนักแสดงและทุกคนในกองถ่ายจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะฉากเลิฟซีน (love scene) ที่ต้องคำนึงถึงเป็นพิเศษ คุณบีมบอกว่า “ที่คิดว่ายากมาก คือเลิฟซีนของคู่วันใหม่ (หลิน) และสายฝน (แพรว) เรามองว่าพอเป็นผู้ใหญ่มันสามารถถ่ายทอดออกมาได้มากกว่าคู่เด็กๆ แต่เราจะทำยังไงให้นักแสดงรู้สึกสบายใจด้วย เป็นเรื่องที่เรากังวลอันดับแรก ต้องบอกว่าเราอยากทำให้ทุกคนสบายใจ ผู้กำกับภาพก็พยายามทำตัวล่องหนมากกับฉากเหล่านั้น เหมือนให้มองเห็นเขาเป็นแค่เครื่องมือ เป็นแค่กล้องเคลื่อนที่ไปมา อุปสรรคต่อจากนี้ก็คงเป็นเรื่องของเวลาการเตรียมตัวด้วย เรารีบหาทางให้ทุกคนสบายใจ ถ้าบล็อกกิ้งได้ ภาพได้ นักแสดงโอเค ซ้อมหลายรอบ พวกเขาก็สบายใจมากขึ้น และตอนถ่ายออกมามันก็ดีกว่าจริงๆ แต่พอหลินและแพรวเขาเป็นเพื่อนกันมานาน มันก็แอบแปลกๆ สำหรับเขานิดนึง ที่ต้องมาเข้าฉากแบบนี้ด้วยกัน (หัวเราะ)”
คุณบีมเล่าความประทับใจเพิ่มเติมระหว่างเบื้องหลังการถ่ายทำว่า “ช่วงที่เรย์และพริ้นไปเดทกันที่ห้าง แล้วโดนมาดามทุสโซสัมภาษณ์ มีหุ่นนักข่าว ก็ปล่อยเด็กๆ ให้อิมโพรไวซ์ไปเลย ให้ทำเหมือนดาราโดนสัมภาษณ์ อาฮ๋วงเขาก็ไปเรื่อยของเขา น่ารัก ชอบโมเมนต์ธรรมชาติแบบนี้เหมือนกัน (ยิ้ม) ส่วนฉากที่ไม่มีในบท คือตอนที่พริ้นเต้นกับพ่อที่เสียไป เราคิดตรงนั้น เขียนบทตรงนั้นเลย แล้วฉากด้านหลังพระอาทิตย์ก็กำลังจะตก เคมีของแพมและนักแสดงที่เป็นคุณพ่อก็เข้ากันดี เป็น magic moment ที่ประทับใจ และช่วยเล่าความสัมพันธ์ของพริ้นและพ่อได้มาก”
“สวยอย่างประจักษ์” คือคีย์เวิร์ดในการเลือกนักแสดงนำ
เมื่อถามถึงเบื้องหลังในการคัดเลือกนักแสดงนำสองคน ว่าทำไมถึงเป็น อาฮ๋วง–ณัฐวดี พิภพพรชัย และ แพม–ธารดี วัฒนเจริญ มารับบท เรย์ และ พริ้น ใน Queendom The Series ซ่อนใจไว้ที่เธอ คุณบีมเล่าว่า “เราแคสต์หลายคนมาก แต่พี่เน็ด (โปรดิวเซอร์) มีโจทย์ชัดเจนว่าต้องการคนที่สวยแบบประจักษ์ สโคปในการมองหามันเลยแคบลง พอเห็นเด็กสองคนนี้เข้ามา อย่างแรกคือหน้าสวยจริง เจออาฮ๋วงแล้วปิ๊งเลย รู้สึกได้ถึงความซนในตัวเขา ส่วนแพมก็สวยแบบเซ็กซี่นิดๆ มาเต้นให้ดู เขาทำการบ้านมาโหดมากนะ มีบทให้สำหรับแคสต์ แพมก็จำมาหมด ทำการบ้านเรื่องอารมณ์ไว้ล่วงหน้า เขาเป็นเหมือนนักกีฬาที่ตั้งใจมากๆ ใช้สายตาในการสื่ออารมณ์ได้ดี พอถึงตอน chemistry test ยิ่งชัดเลยว่าไดนามิคของสองคนนี้มันเข้ากันมาก”
มากกว่าการเล่นบทนำ คือการรับบทบาทเป็นสองคนในร่างเดียวกัน นักแสดงจึงต้องเล่นให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน และต้องทำให้คนดูเชื่อ ตรงนี้คุณบีมขอยกเครดิตให้กับครูสอนแอคติ้ง “ต้องยกเครดิตให้ ‘ครูอูโน่’ เพราะโจทย์เรื่องนี้ค่อนข้างยาก และนักแสดงยังใหม่มากทั้งคู่ เราใช้วิธีการเวิร์กช้อปทั่วไป มี mirror acting ให้เลียนแบบท่วงท่าของกันและกัน แพมต้องร่าเริงเหมือนอาฮ๋วง อาฮ๋วงต้องมีมาดคุณหนูเหมือนแพม และมันไม่ใช่แค่อาฮ๋วงและแพมเท่านั้น เพราะหมายถึงเรย์และพริ้นด้วย ทั้งสองคนมีการบ้าน คือต้องมองหาคาแรคเตอร์ต่างๆ จากตัวละคร เขาจะมีสมุดจดคาแรคเตอร์ของเขา เล่นแล้วเจอก็จด เช่น ถ้าเป็นเรย์ เรย์จะพูดช้า เวลาเข้าซีนยากๆ เราก็ให้เล่นและคอยดูเพื่อที่จะได้แก้ไปเลย ครูอูโน่ก็เหมือนสอนเราด้วยอีกทางหนึ่ง ต้องให้นักแสดงนำอินเนอร์จากข้างใน พาตัวละครไปถึงจุดที่ต้องการ ทุกอย่างต้องละเอียด ให้พูดตามบทเฉยๆ ไม่ได้ เพราะในทุกการกระทำ ในทุกท่วงท่า จังหวะการพูด และการแสดงสีหน้าต่างๆ มันมีบางอย่างซ่อนอยู่เสมอ”
ดนตรีประกอบที่ทำหน้าที่เป็นสายธารหล่อเลี้ยงเรื่องราว
ดนตรีประกอบ เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่หลายคนพูดถึงว่าเลือกได้เหมาะกับแต่ละซีนมากๆ คุณบีมเล่าถึงการดีไซน์ประกอบในเรื่องว่า “คนชมเรื่องเพลงกันเข้ามาเยอะมาก ดนตรีประกอบ (score) ทำให้ซีรีส์ดูมีมูลค่ามากน้อยได้จริงๆ สำหรับ Queendom เราได้ คุณฟิว-ชัพวิชญ์ เต็มนิธิกุล (เจ้าของผลงานจากภาพยนตร์เรื่อง มะลิลา, อนธการ, Blue Again และตาคลีเจเนซิส) ซึ่งโจทย์ของเราคืออยากได้โทนที่มันแซ่บ สนุก และโมเดิร์น ก็มีส่งตัวอย่างเพลงของ Olivia Rodrigo, Doja Cat และ K-Pop ไปให้ ฟิวเขาก็ทำเพลย์ลิสต์เอาไว้ ต้องบอกว่าเราชอบสกอร์ช่วงสลับร่างมาก ดนตรีมันถูกหยอดเข้ามาในเรื่องเรื่อยๆ มันทำให้ดูเป็นภาพยนตร์ขึ้น ดูลุ้นๆ เป็นโทนรอมคอมในแบบที่เราอยากได้
นอกจากนี้ อยากยกเครดิตสำคัญเรื่องเพลงให้กับ พี่ปลั๊ก หัวหน้า post production ที่ WeTV ด้วย ทั้งเขาและทีมช่วยกันเลือกเพลงเยอะมาก ภาพที่ออกมาดีก็ต้องชมคนตัด เพลงที่เลือกมาก็ดี เราอยากได้เพลงที่มีเนื้อร้อง ศิลปินเป็นผู้หญิง อยากให้ความรู้สึกมันออกมาเหมือนทำภาพยนตร์ เราก็ได้สกอร์ของฟิวและเพลงที่ช่วยกันเลือกกับทีมมาผสมผสานกันจนลงตัว ต้องขอบคุณที่หลายคนพูดถึงเรื่องนี้ เพราะทีมใช้เวลากับมันเยอะมาก แม้การตัดต่ออาจไม่ได้เปลี่ยนเยอะมากมาย แต่เรื่องหาเพลง บางทีเราก็หาเพลงที่เหมาะกับฉากแต่ละฉากเป็นวันจริงๆ”
ทุกอย่างไม่อาจสมบูรณ์ หากปราศจากทีมสร้างและผู้ชม
ก่อนจากกันไป คุณบีมฝากขอบคุณและทิ้งท้ายถึงทีมงานและผู้ชมด้วยรอยยิ้มกว้างว่า “อยากให้คนมาดูเยอะๆ เลยค่ะ เพราะทุกคนตั้งใจกับงานนี้มากจริงๆ อยากพูดถึงและขอบคุณทีมงานเบื้องหลังอย่าง พี่ฟา ผู้ช่วยผู้กำกับ 1 ถ้าไม่มีเขา เราคงตายสนิท เป็นคนที่สอนและช่วยเหลือหลายอย่างมาก การมีคนในชุมชนเพศหลากหลาย ก็ได้มุมมองจากเขามาช่วยได้เยอะ ผู้ช่วยผู้กำกับ 2 คือพี่บี ทีมอาร์ตที่มาจากโลกโฆษณาของเรา รวมถึงทีมเสื้อผ้า พี่โน้ต สุดยอดมากเลย เสื้อผ้าในซีรีส์ออกมาดีมากทั้งที่งบและเวลาจำกัด แต่ทุกฝ่ายก็ช่วยกัน ทุ่มเทเต็มที่ เสกภาพในจินตนาการของเราออกมาได้เท่าที่ได้ ขอบคุณ น้ำ จ๊อบ โปรดิวเซอร์ และสุ่ย กับ มายด์ เป็น PM (ผู้จัดการกองถ่าย) วิ่งช่วยทุกคนในกอง ทีมกล้องพี่แอ้น และ น้องฟาง ตากล้องผู้หญิงของเรา ที่จริงก็อยู่ด้วยกันมานาน แต่ไม่ได้มีโอกาสขอบคุณหรือพูดคุยกันยาวๆ แบบนี้ พอจบโปรเจกต์แล้วทุกคนก็แยกย้ายไปทำงานอื่นต่อ นอกจากนี้อยากขอบคุณ พี่เน็ด และ WeTV และขาดไม่ได้เลยจริงๆ คือขอบคุณนักแสดงรับเชิญทุกคน ทั้งแพร และโอ๊ต มณเฑียร สุดท้ายเลย คืออยากฝากถึงคนดู ว่าถ้ามีโอกาสก็อยากให้ไปรับชมกันนะคะ ถ้าชอบก็หาโปรเจกต์อะไรมานำเสนอให้ได้เลย สัญญาว่าจะตั้งใจทำให้ดีกว่าเดิม (ยิ้ม)”
