ผู้กำกับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด แดนนี บอยล์และมือเขียนบทผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด อเล็กซ์ การ์แลนด์ ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งใน 28 YEARS LATER เรื่องราว “สยองขวัญจากผู้กำกับออเทอร์” เรื่องใหม่สุดสะพรึง ที่เกิดขึ้นในโลกที่ก่อกำเนิดขึ้นโดย 28 Days Later เป็นเวลาเกือบสามทศวรรษมาแล้วนับตั้งแต่ไวรัสคลุ้มคลั่งนี้หลุดออกมาจากห้องทดลองอาวุธชีวภาพ และตอนนี้ ผู้รอดชีวิตที่ยังอยู่ภายใต้การกักกันโรคอย่างเคร่งครัดก็พบวิธีที่จะดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ติดเชื้อ ผู้รอดชีวิตกลุ่มหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในเกาะเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ด้วยเส้นทางเดียวที่อยู่ภายใต้การคุ้มกันอย่างแน่นหนา ในตอนที่สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มออกจากเกาะเพื่อปฏิบัติภารกิจในใจกลางแผ่นดินใหญ่อันมืดทมิฬ เขาก็ค้นพบความลับ ความน่าอัศจรรย์ และความสยองขวัญ ที่ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์กับผู้ติดเชื้อ แต่ยังรวมถึงผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
28 YEARS LATER ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย โจดี้ โคเมอร์, แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน, แจ็ค โอ‘ คอนเนล, อัลฟี วิลเลียมส์และราล์ฟ ไฟน์ กำกับโดยแดนนี บอยล์ เขียนบทโดยอเล็กซ์ การ์แลนด์ อำนวยการสร้างโดยแอนดรูว์ แม็คโดนัลด์, ปีเตอร์ ไรซ์, เบอร์นาร์ด เบลลิว, แดนนี บอยล์, อเล็กซ์ การ์แลนด์ ผู้ควบคุมงานสร้างคือคิลเลียน เมอร์ฟีย์ ผู้กำกับภาพคือแอนโธนี ด็อด แมนเทิล เอเอสซี, บีเอสซี, ดีเอฟเอฟ มือลำดับภาพคือจอน แฮร์ริส ผู้ออกแบบงานสร้างและผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายคือกาเร็ธ พิวห์และคาร์สัน แม็คคอล ดนตรีโดยยัง ฟาเธอร์ส คัดเลือกนักแสดงโดยเกล สตีเวนส์ ซีดีจีและรีเบ็กก้า ฟาร์ฮอล
นับตั้งแต่เปิดตัวผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกด้วย Shallow Grave แดนนี บอยล์ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่มีแนวคิดนวัตกรรมมากที่สุดในปัจจุบันและเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ตัวจริง ที่เป็นที่รู้จักจากการผลักดันขอบเขตของการเล่าเรื่องออกไป บัดนี้ ด้วย 28 YEARS LATER เขาได้รังสรรค์เรื่องราวน่าสะพรึงกลัวและมืดมน ที่จะถูกใจแฟนๆ ของ 28 Days Later ภาพยนตร์ต้นฉบับที่โด่งดัง รวมถึงร่ายมนต์สะกดผู้ชมกลุ่มใหม่ให้เข้าสู่โลกที่เขาและการ์แลนด์ได้สร้างขึ้นมา
การ์แลนด์ ผู้ที่ตัวเองก็เป็นผู้กำกับชื่อดังด้วยเช่นกัน เป็นที่รู้จักจากผลงานภาพยนตร์ที่กระตุ้นความคิดของเขา และใน 28 YEARS LATER เขาก็ได้เขียนบทภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความลุ้นระทึกอย่างตรงไปตรงมา ที่นำพาโลกใบนี้ไปในทิศทางใหม่ที่น่าตื่นตะลึงและน่าตื่นเต้น เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาและบอยล์ได้สร้างประสบการณ์ภาพยนตร์สุดระทึกและปลุกเร้าสัญชาตญาณดิบ ที่แตกต่างจากเรื่องไหนๆ ที่ผู้ชมเคยสัมผัสมาก่อน
วิสัยทัศน์ที่โดดเด่นของบอยล์ถูกยกระดับขึ้นด้วยการใช้อัตราส่วนภาพไวด์สกรีน 2.76:1 ของเขาและผู้กำกับภาพแอนโธนี ด็อด แมนเทิล ในการสร้างประสบการณ์ที่ชวนให้มีอารมณ์ร่วมไปด้วยสำหรับผู้ชม การใช้เซนเซอร์ทันสมัยที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษอย่างแหวกขนบของพวกเขา เอื้อต่อนวัตกรรม ความคล่องตัวและการเคลื่อนไหวอย่างสูงสุด และการติดกล้องกับตัวละครบางตัว ก็ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกร่วมและความตื่นกลัวให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก
แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน พูดถึงเจมีและปฏิกิริยาที่เขามีต่อความทุกข์ใจของครอบครัวว่าเป็นสิ่งที่ “เป็นจุดอ่อนและมีมิติหลายชั้น เป็นการพยายามจะหาทางออกท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายอย่างเหลือเชื่อ
“ทุกคนบนเกาะปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตแบบชนเผ่า เพื่อปกป้องตัวเองจากความสยองขวัญที่รอคอยพวกเขาอยู่บนแผ่นดินใหญ่” เขากล่าวต่อ “พวกเขาถูกทำให้คุ้นชินกับวิถีชีวิตแบบเอาตัวรอด”
สถานการณ์เหล่านั้นถูกยกระดับขึ้นเมื่อเจมีได้ร่วมเดินทางกับสไปค์ในการตามล่าหาผู้ติดเชื้อที่เสี่ยงอันตราย ในขณะเดียวกัน พิธีกรรมดังกล่าวก็เป็นโอกาสสำคัญที่พ่อและลูกจะสานสายสัมพันธ์กัน “เจมีกำลังมอบช่วงเวลาเหล่านี้ ที่เต็มไปด้วยความรู้ รวมถึงอันตราย เป็นของขวัญให้กับลูกชาย” เทย์เลอร์-จอห์นสันอธิบาย “มันเป็นพิธีกรรมเปลี่ยนผ่านที่ทำให้สไปค์มีอิสระเป็นตัวของตัวเอง มันเหมือนกับช่วงเวลาที่ความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ ของเขาได้ก้าวไปสู่ช่วงวัยรุ่น”
“คุณจะได้เห็นถึงความกดดันที่เจมีมีต่อเขาเพื่อให้เขาเติบโตเร็วขึ้นกว่าที่เขาควรจะเป็น” เทย์เลอร์-จอห์นสันกล่าวต่อ “เขาพยายามให้เครื่องมือที่สไปค์จำเป็นต้องมีในโลกใหม่ใบนี้กับเขา เจมีอยากให้สไปค์พึ่งพาตัวเองได้ ระหว่างพ่อลูกคู่นี้ มีเรื่องอบอุ่นหัวใจและจิตวิญญาณมากมายเหลือเกิน”
สไปค์ ผู้มีเพียงแค่ธนูและลูกศรเป็นอาวุธ ได้สังหารผู้ติดเชื้อรายแรกของเขา และตอนที่พ่อลูกคู่นี้กลับไปยังเกาะ ก็มีการเฉลิมฉลองชัยชนะของสไปค์ที่งานเลี้ยงยิ่งใหญ่ แต่ช่วงเวลาแสนสุขก็กลายเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาของความกลัวและการเติบโตเมื่อสไปค์แอบสังเกตเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพ่อเขา
“เจมีทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวจากความรัก” เทย์เลอร์-จอห์นสันกล่าว “ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นมนุษย์และทำผิดพลาด แต่สิ่งที่สไปค์รู้มีเพียงแค่ว่าพ่อของเขาไม่ใช่ฮีโรของเขา…ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา อีกต่อไปแล้ว ความไว้ใจพังทลายลง และทุกอย่างที่เจมีสอนสไปค์ก็แตกสลายไม่มีชิ้นดี”
การกระทำที่ไม่เหมาะสมของเจมีจุดประกายความโกรธแค้นให้กับเด็กหนุ่ม ผู้อุทิศตนให้กับแม่ผู้เจ็บป่วยของเขา แม้ว่าอิสลาจะนอนป่วยอยู่บนเตียงเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ความผูกพันระหว่างเธอกับสไปค์ก็แน่นแฟ้นพอๆ กับเจมี หรือยิ่งกว่าด้วยซ้ำ “สไปค์และอิสลามีสายใยที่จริงแท้ของความเป็นมนุษย์และอารมณ์ ระหว่างที่รับมือและเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างเหลือเชื่อนี้” โจดี้ โคเมอร์กล่าว
อาการป่วยของอิสลาทั้งสร้างความเข้มแข็งและทดสอบสายสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ “เธอต้องนอนติดเตียงเพราะเธอป่วยหนักเหลือเกิน” โคเมอร์เล่า “อิสลามักจะรู้สึกสับสนและทำหน้าที่แม่ไม่ได้ ซึ่งบีบให้สไปค์ต้องรับหน้าที่นั้น นอกจากนั้น มันยังมีความขี้เล่นและเบาสมองที่คาดไม่ถึงบางอย่างระหว่างอิสลาและสไปค์ ซึ่งเขาไม่ได้สัมผัสจากพ่อของเขา เธอมอบบางสิ่งที่แตกต่างออกไปมากๆ สำหรับสไปค์”
“ในขณะเดียวกัน” โคเมอร์กล่าวเสริม “อาการป่วยของอิสลาก็สร้างรอยร้าวให้กับชีวิตคู่ของเธอ แต่แอรอน, แดนนีและฉันก็มองเห็นชัดเจนว่า นี่เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดมาจากความรัก และเจมีก็ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอิสลา” เทย์เลอร์-จอห์นสันกล่าวยืนยัน “มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเบื้องลึกลงไประหว่างเจมีและอิสลา ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกขับเน้นด้วยความทุกข์ทรมานและการปฏิเสธ แต่มันก็ยังมีความรักและความหลังมากมายด้วย สิ่งสำคัญที่พวกเขามีเหมือนกันคือว่าพวกเขารักและเอ็นดูสไปค์”
องค์ประกอบและธีมของเรื่องราวเหล่านี้ดึงดูดใจโคเมอร์ ผู้คุ้นเคยดีกับโลกที่บอยล์และการ์แลนด์ได้สร้างเอาไว้ใน 28 Days Later “ฉันชอบหนังภาคแรกมากๆ เลย” เธอกล่าว “สิ่งที่ทำให้ฉันทึ่งเกี่ยวกับมันคือองค์ประกอบของอันตรายและประเด็นสำคัญเรื่องความเป็นมนุษย์และอารมณ์ กับหนังภาคใหม่นี้ ฉันประทับใจเป็นพิเศษกับวิวัฒนาการของผู้ติดเชื้อและการได้เห็นว่าคนบนเกาะใช้ชีวิตกันยังไง พวกเขาปรับตัวและเอาชีวิตรอดกันยังไง”
ในขณะที่ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวลึกซึ้งขึ้น แสงไฟลึกลับบนแผ่นดินใหญ่ก็กระตุ้นความสนใจและจินตนาการของสไปค์และทำให้เขาพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของการที่จะมีหมอ ผู้สามารถรักษาอิสลาได้ อาศัยอยู่ที่นั่น “เขาก็เลยตัดสินใจพาเธอออกจากเกาะและเดินทางไปแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดที่เขาจะพาอิสลาไปได้แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเธอด้วย” โคเมอร์กล่าว “ตั้งแต่เริ่มแรก สไปค์ต้องนำทางและจัดการเรื่องเธออย่างตรงไปตรงมา ซึ่งนั่นเป็นภาระหนักอึ้งที่เขาต้องแบกรับ”
การ์แลนด์และบอยล์ตอบรับแนวคิดของการทำให้เด็กหนุ่มเป็นตัวเอกของเรื่อง “แดนนีชอบอะไรที่แหวกขนบ” มือเขียนบทกล่าว “และเขาก็รู้ว่าการทำให้เด็กวัยรุ่นเป็นตัวละครหลักในหนังเกี่ยวกับไวรัสคร่าชีวิตไม่ได้เป็นไปตามขนบของหนังแนวนี้เลย ในความเป็นจริงแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างในการดำเนินเรื่องที่เป็นแบบนั้นนิดๆ มันเป็นการทำอะไรที่ผิดความคาดหมาย”
นักแสดงหน้าใหม่ อัลฟี วิลเลียมส์ ผู้เปิดตัวผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก รับมือกับมิติที่หลากหลายและความซับซ้อนต่างๆ ของสไปค์ นักแสดงหนุ่มชื่นชอบการได้สำรวจตัวละครและการเปลี่ยนแปลงของเขาจากนักรบฝึกหัด ผู้ไม่รู้จักช่วงเวลาก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ไปสู่การเป็นผู้ปกป้องผู้กล้าหาญและสร้างสรรค์
“ตอนที่สไปค์ร่วมเดินทางกับเจมีไปแผ่นดินใหญ่เพื่อฆ่าผู้ติดเชื้อรายแรกของเขา เขาก็รู้ว่า แม้จะมีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ตามมา แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องของการเอาชีวิตรอด” วิลเลียมส์กล่าว “สไปค์ตระหนักดีว่า ชีวิตบนเกาะไม่ได้มีแต่ความสวยสดงดงาม มันยังมีผู้ติดเชื้อข้างนอกนั่นที่สามารถฉีกคุณออกเป็นชิ้นๆ ได้ ทั้งหมดนั่นทำให้สไปค์แข็งแกร่งขึ้น”
“โดยพื้นฐานแล้ว สไปค์เป็นเด็กธรรมดา ที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ผิดปกติมากๆ” วิลเลียมส์กล่าวต่อ “เขารักพ่อและแม่ของเขา และอยากให้พวกเขาเป็นครอบครัวอย่างที่พวกเขาเคยเป็นก่อนที่เธอจะป่วย แต่เขาต้องหาวิธีช่วยเธอให้ได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นครอบครัวแบบที่พวกเขาเป็นก่อนที่เธอจะป่วย”
บอยล์กล่าวว่า พิธีกรรมเปลี่ยนผ่านครั้งที่สองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ “สไปค์ก็เหมือนกับวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่ชื่นชอบการก้าวออกไปสู่โลกที่โหด” เขากล่าว “เราอาจสงสัยว่าทำไมสไปค์ถึงอยากจะไปแผ่นดินใหญ่และเสี่ยงทุกอย่างทั้งๆ ที่เขาก็มีบ้านที่อบอุ่นอยู่บนเกาะอยู่แล้ว แต่โลกเราก็เป็นแบบนี้แหละ แน่นอนว่าเขาก็อยากจะช่วยแม่ของเขาด้วยเหมือนกัน”
เบื้องหลังกล้อง บอยล์ชื่นชมการที่พ่อบนหน้าจอของวิลเลียมส์ได้คอยดูแลนักแสดงรุ่นเยาว์ “แอรอนรักในการแสดงความรับผิดชอบต่ออัลฟี เขาคอยดูแลเด็กหนุ่มที่เพิ่งเคยสัมผัสประสบการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก” เขากล่าว “ผมมักเห็นแอรอนสอนอัลฟีเกี่ยวกับเรื่องการหายใจและทำให้แน่ใจว่าเขาพร้อมที่จะเข้าฉากแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สวยงามคือเราได้เห็นอัลฟีเริ่มต้นเลียนแบบแอรอนในการเตรียมตัวของเขา”
