Herstory of Lesbianism in Thailand | ประวัติศาสตร์เลสเบี้ยนในไทยที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

| | ,

Lesbianism (n.) the state of being a lesbian

ความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันปรากฎให้เห็นมาอย่างยาวนานทั่วโลก เช่นเดียวกันกับประเทศไทย แม้ว่าจะไม่มีบันทึกเป็นเครื่องยืนยันอย่างชัดเจน แต่ก็พบเจอหลักฐานบางอย่างที่ซ่อนอยู่ตามหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการมีอยู่ของเควียร์นั้นอยู่คู่กับสังคมไทยมาโดยตลอด

เพื่อต้อนรับ Lesbian Visibility Week วันนี้พวกเราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับประวัติศาสตร์เลสเบี้ยนในประเทศไทยฉบับย่อ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ ส่งเสริมการโอบรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอัตลักษณ์ และทำความรู้จักกับประวัติศาสตร์ที่คนรุ่นก่อนได้ปูทางมาเพื่อพวกเราทุกคนในวันนี้

Herstory of Lesbianism in Thailand ประวัติศาสตร์เลสเบี้ยนในประเทศไทย 

หลายๆ ครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันมักจะโดนคนมองว่าเป็นแค่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน มิตรภาพระหว่างเพศเดียวกัน เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ยั่งยืน หรือเป็นพฤติกรรมที่รับมาจากสังคมตะวันตก แต่แท้จริงแล้ว ความสัมพันธ์ดังกล่าวมีอยู่และเกิดขึ้นมาอย่างช้านาน เห็นได้จากการบัญญัติคำเอาไว้สำหรับความรักของหญิงรักหญิงอย่างคำว่า เล่นเพื่อน ซึ่ง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ว่า การคบเพื่อนหญิงด้วยกันต่างชู้รัก สามารถเทียบกับคำภาษาอังกฤษว่า Lesbianism หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง นั่นเอง

สมัยกรุงศรีอยุธยา

อย่างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ช่วงปีพ.ศ. 1893-1991 (ค.ศ. 1350-1448) ตรงกับสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ปรากฎหลักฐานในกฏมณเฑียรบาล ตามที่บทวิจัยเรื่อง “ประวัติศาสตร์เลสเบี้ยนหรือผู้หญิงรักเพศเดียวกันในตะวันตกและเอเชีย” ของ อาทิตยา อาษา และ ดร.สุกฤตยา จักรปิง ได้บันทึกเอาไว้ว่า “หากมีนางสนมผู้ใด บังอาจละเมิดกฎเล่นรักกันเฉกเช่นสามีภรรยาจะต้องถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนด้วยลวดหนัง 50 ที และหากยังมีการฝ่าฝืนมีการเล่นเพื่อนกันอีก ให้จับมาสักคอด้วยถ้อยคำประณาม แล้วใส่ตรวนจองจำ และแห่ประจานรอบๆ เมือง ให้อับอายเข็ดหลาบ” 

นี่ถือเป็นการกำหนดโดยชัดเจนว่าห้ามนางสนมกำนัลมีพฤติกรรมเป็นหญิงรักหญิงตามความหมายของคำว่า Lesbianism ซึ่งในพื้นที่เขตพระราชฐานมีนางสนมกำนัลเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการระบุเป็นกฎมณเฑียลบาลในเอกสารโบราณไว้ แต่ไม่ได้ถือว่ามีความผิดหรือห้ามพฤติกรรมหญิงรักหญิงแก่ผู้หญิงโดยทั่วไปในสังคมที่ไม่ได้ทำงานหรืออาศัยอยู่ในเขตวัง

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น แผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 มีการเล่าเรื่องราวของ Lesbianism ผ่านงานสร้างสรรค์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานจิตรกรรมฝาผนังของสาวชาววังที่กอดกันแบบชิดบนฝาผนังในวัดคงคาราม จังหวัดราชบุรี งานเขียนวรรณคดี กาพย์กลอนต่างๆ ทั้งผลงานของสุนทรภู่ในเรื่องพระอภัยมณี ที่มีตอนหนึ่งเล่าเรื่องราวของนางสนมกำนัลในเมืองรมจักร ซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงด้วยกัน

ไปจนถึงกลอนเพลงยาวของคุณสุวรรณ ราชนิกูล ณ บางช้าง นางในกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ผู้เขียนกลอนบทละครเรื่อง พระมเหลเถไถ ได้เขียนกลอนเพลงยาวว่าด้วยเรื่องราวของการเล่นเพื่อนของชาววัง อาทิ กลอนเพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ที่ล้อเลียนความสัมพันธ์ของหม่อมสุดและหม่อมขำ หม่อมห้ามในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ที่ย้ายเข้าไปรับราชการประจำตำหนักของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ และมีความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างเปิดเผย โดยอาจเป็นหนึ่งในเครื่องยืนยันถึงการเล่นเพื่อนระหว่างผู้หญิงที่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในสังคมไทย

นอกจากนี้ ยังมีกลอนเพลงยาวเรื่องพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ จดบันทึกโดยคุณสุวรรณ ซึ่งบทวิจัยของ รองศาสตราจารย์อิงอร สุพันธุ์วณิช ในหัวข้อ “กลอนเพลงยาวของคุณสุวรรณ : ภาพสะท้อนรักร่วมเพศสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น” ได้อธิบายว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนแอบแฝงความรู้สึกเอาไว้อย่างลึกซึ้ง ในแบบที่คุณสุวรรณแอบรักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพอย่างรักเร้นไม่เปิดเผย

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนกลาง

อย่างในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูหัว รัชกาลที่ 4 ที่ถือเป็นช่วงที่ชาวต่างชาติเดินทางมายังสยามเป็นจำนวนมาก และมีการบันทึกเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ โดยเฉพาะ หนังสือบันทึกรายวันของทาวน์เซนด์ แฮร์ริส (Townsend Harris) ราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำบางกอกที่เดินทางมารับราชการในสยามราวปี พ.ศ. 2399 (ค.ศ. 1856) ได้มีการระบุไว้ถึงการเล่นเพื่อนว่า “การเล่นเพื่อนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เหมือนดังการกระทำของสัตว์ ไม่มีโทษหนักหนาอะไร ไม่เคยมีการลงโทษ ยกเว้นแต่กรณีของพระสงฆ์”

ยิ่งไปกว่านั้น ยังเคยมีพระราชหัตถเลขาเพื่อสอนพระธิดาพระองค์หนึ่งว่า “แต่พ่อขอเสียเปนอันขาดทีเดียว คิดถึงคำพ่อสั่งสอนให้มากนักหนา อย่าสูบฝิ่นและอย่าเล่นผู้หญิงที่ชั่ว อย่าเล่นเพื่อนกับใครเลย มีผัวมีเถิด แต่อย่าให้ปอกลอกเอาทรัพย์ของเจ้าไปได้นัก”

ขณะที่วังหน้าอย่างพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เคยเขียนเพลงยาวกล่าวถึงการ ‘เล่นเพื่อน’ ของผู้หญิงฝ่ายในด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิว่า “ที่ข้อใหญ่ชี้ให้เห็นเรื่องเล่นเพื่อน ทำให้เฟือนราชกิจผิดทุกสิ่ง”

ถัดมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) ก็ได้ปรากฏเรื่องราวความสัมพันธ์ของเจ้าหญิงยวงแก้ว เจ้าหญิงเชื้อสายราชวงศ์เชียงตุงกับหม่อมราชวงศ์หญิงวงศ์เทพ ที่มีลักษณะต่อกันราวกับคนรัก ทว่าหม่อมราชวงศ์หญิงวงศ์เทพกลับมีหญิงสาวในวังอีกคนที่ไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว ทำให้เจ้าหญิงยวงแก้วต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเอาชนะใจ กระทั่งมีข่าวลือสะพัดไปจนถึงหูของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทำให้เธอถูกเรียกตัวมา และคาดโทษถึงขั้นส่งตัวกลับนครเชียงใหม่ จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมแสนเศร้าสลด

ข้อสังเกตถึงความแตกต่างระหว่างเรื่องราวในสมัยกรุงศรีอยุธยาและในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจะเห็นว่ามีการยกเลิกการลงโทษที่รุนแรง เปลี่ยนมุมมองของความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันว่าเป็นการกระทำที่ไม่ร้ายแรง มีแค่เพียงการห้ามปรามมากกว่า และไม่มีการตีตราการกระทำที่เข้าข่าย Lesbianism ระหว่างผู้หญิงด้วยกันว่าเป็นความเบี่ยงเบนทางเพศแต่อย่างใด

จากเรื่องที่เล่ามาข้างต้น อาจเป็นเครื่องยืนยันได้ระดับหนึ่งแล้วว่าหญิงรักหญิงอยู่ในประวัติศาสตร์ของสังคมไทยมาอย่างยาวนานในหลายชนชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ผู้หญิงอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งในพื้นที่ตรงนี้เป็นของพวกเขาที่มีอำนาจเป็นของตัวเอง ทั้งในสังคมไทยโบราณ ไม่ได้มองว่าการเล่นเพื่อนเป็นอาชญากรรม แค่เป็นสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ

แรกเริ่มรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา

ในช่วงเวลาต่อมามีการรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะแนวคิดการแบ่งสิ่งต่างๆ ออกเป็นสองขั้ว ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิง-ผู้ชาย ขาว-ดำ ความดี-ความชั่ว ไปจนถึงระดับของชนชั้นที่ส่งผลต่อมุมมองแนวคิดของคนไทย ทั้งยังมีอิทธิพลจำกัดเรื่องความสัมพันธ์ของผู้คนด้วยกรอบแนวคิดระบบผัวเดียวเมียเดียว การกำหนดบทบาทและหน้าที่ทางเพศของผู้หญิง การจำกัดอิสระภาพ ไปจนถึงวิธีปฏิบัติทางเพศ

แน่นอนว่าแนวคิดเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงที่รักผู้หญิงด้วย เพราะนอกจากเป็นกลุ่มคนที่อยู่นอกกรอบของสังคมสมัยนั้นที่กำหนดโดยบริบทสังคมปิตาธิปไตย ท้าทายอำนาจของระบบชายเป็นใหญ่ ทำให้เกิดการประนามการรักเพศเดียวกันมากกว่าพิจารณาว่าเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเหมือนในอดีต นำมาซึ่งกระบวนการลงโทษจากสังคม ผลักไสให้เป็นอื่น กลายเป็นตัวร้ายที่จิตผิดปกติวิปริตผิดเพศ

พ.ศ.2471 (ค.ศ.1928) ได้มีการจัดงานแต่งงานกันระหว่างช้อยและถม คู่รักเพศเดียวกันที่ได้รับการยอมรับจากเหล่าญาติ ซึ่งเดินทางมาร่วมงานแต่งงานในพื้นที่คลองบางระมาด อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคงถูกมองว่าเป็นเรื่องแปลกตาในยุคนั้น เห็นได้จากการที่สำนักพิมพ์ศรีกรุงตีพิมพ์ข่าวโจมตีพิธีดังกล่าวว่าเป็นวิวาห์ลักเพศ และแม้ว่าทั้งสองจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันหลังจากแต่งงาน แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขของทั้งคู่ก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรม ซึ่งคาดว่ามีสาเหตุมาจากความเกลียดชังกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน 

ประเทศไทยสมัย 2500

กลุ่มคนรักเพศเดียวกันถูกพูดถึงผ่านสื่อและผลงานบันเทิงของไทยเพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงมีมุมมองหรือทัศนคติที่กีดกันและสร้างภาพจำที่รุนแรงเป็นผลพวงของความเกลียดชังที่เกิดขึ้นทั้งทางสังคมและวัฒนธรรม ไปจนถึงความรุนแรงเชิงโครงสร้าง เฉกเช่นเดียวกันภาพที่เกิดขึ้นในอดีต 

และเมื่อมีการเข้ามาของแนวคิดทางการแพทย์และจิตวิทยาตะวันตกที่ทำความเข้าใจเรื่องเพศวิถี ก็ได้มีมุมมองที่ว่า ผู้หญิงที่มีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมในเชิง Lesbianism จะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ป่วยทางจิต มีความเบี่ยงเบนทางเพศ ต้องเข้ารับการบำบัดแก้เพศวิถี (Conversion Therapy) เพื่อแก้ไขอาการ อยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับที่ต่างประเทศมีการบำบัดแก้เพศวิถีของคนในชุมชน LGBTQIAN+ ด้วยการช็อตไฟฟ้า เป็นต้น

ด้านวรรณกรรมอย่างนวนิยายเรื่อง จันดารา ของ อุษณา เพลิงธรรม (พ.ศ. 2509 หรือ ค.ศ. 1966) ได้มีการแสดงภาพให้เห็นถึงตัวละครที่เป็นหญิงรักหญิงให้ปรากฏ หรือนวนิยายเรื่อง รากแก้ว ของ กฤษณา อโศกสิน (พ.ศ. 2517 หรือ ค.ศ. 1974) ที่นำเสนอภาพของ Lesbianism  ในรูปแบบของตัวละครที่เป็นพวกกามวิปริต เป็นต้น

ในช่วงปี พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1950) สังคมไทยได้รับแนวคิดเรื่องเพศแบบตะวันตกเข้ามา ผสมผสานกับวัฒนธรรมเดิมที่มีอยู่อย่างเข้มข้นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำว่า “กะเทย” ในการพูดถึงผู้ชายและผู้หญิงที่รักเพศเดียวกัน ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีคำที่บ่งบอกถึงหญิงรักหญิงโดยเฉพาะเจาะจง มีการใช้คำว่า “เลสเบี้ยน” เพื่ออ้างอิงถึงผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิง และ “ไดก์ (Dyke) ที่เป็นการรับคำภาษาอังกฤษเข้ามาในช่วงปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) ที่มักเน้นไปในเรื่องที่เกี่ยวกับทางเพศอย่างเดียว และสื่อถึงความเป็นพวกโรคจิตวิตถารด้วย

จากวิทยานิพนธ์ของ ชลธิชา ศาลิคุปต เรื่อง “กระบวนการพัฒนาละธำรงเอกลักษณ์ของหญิงรักร่วมเพศ” ให้มุมมองถึงสังคมไทยในอดีตว่า “เลสเบี้ยน” จัดเป็นคำต้องห้ามในหมู่หญิงรักหญิงด้วยกัน สืบเนื่องมาจากภาพเหมารวมของสังคมในแง่ลบต่อผู้ที่มีอัตลักษณ์นี้ มุมมองของนักจิตวิทยาที่มองว่าเป็นอาการของจิตผิดปกติทางเพศที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา ทำให้หญิงรักหญิงปฏิเสธที่จะใช้คำนี้เรียกตนเอง

สำหรับอัตลักษณ์ของ ทอม และ ดี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นค่อนข้างใหม่ในช่วง พ.ศ. 2513-2522 อ้างอิงจากงานของ Megan J. Sinnott ปี 2004 ที่บอกว่า ทอม มาจากคำภาษาอังกฤษที่ว่า tomboy มีความหมายว่า เด็กผู้หญิงที่มีลักษณะนิสัยเหมือนผู้ชาย 

แต่ความหมายในมุมมองของหญิงรักหญิงในสังคมไทย คำว่า “ทอม หมายถึง ผู้หญิงที่มีเอกลักษณ์แห่งความเป็นชาย มีความดึงดูดใจในทางเพศ และมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่มีเอกลักษณ์แห่งความเป็นหญิง และ ดี้ มาจากคำภาษาอังกฤษ lady ที่มีความหมายว่า กุลสตรี ในความหมายนี้ “ดี้” หมายถึง ผู้หญิงที่มีลักษณะของความเป็นหญิง ที่เป็นคู่ของทอม

งานวิชาการอีกฉบับที่ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างทอมดี้ในไทยกับเลสเบี้ยน หรือคู่รักเพศเดียวกันในสังคมตะวันตก อย่าง “ความเป็นเอกลักษณ์ทางสังคมของ “ดี้” และกลยุทธ์ในการใช้ชีวิตประจำวัน ของผู้หญิงที่มีคนรักเป็นทอม” โดย มานิตตา ชาญไชย เอาไว้ว่า ทอมและดี้ในไทย เป็นเรื่องของ Gender Identity มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของ Sexual Identity ซึ่งมีลักษณะเฉพาะภายใต้บริบทสังคมไทย

เมื่อมีการใช้คำว่า ทอม-ดี้ แทนคำว่า เลสเบี้ยน ที่ยังมีความหมายในเชิงลบ จึงทำให้คำดังกล่าวเป็นที่นิยมมากกว่าในสังคมไทย แต่อย่างไรก็ตามทอมและดี้เองก็นับเป็นเลสเบี้ยน เพราะต่างมีความสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นเพศหญิงเหมือนกัน 

นอกจากนี้ ในภาคเหนือยังมีคำภาษาถิ่นล้านนาที่เก่าแก่ใช้เรียกผู้หญิงที่มีบุคลิกหรือพฤติกรรมเป็นชายว่า “ปู๊” ที่มีความหมายเหมือนกันคำว่า “ผู้” หรือ “ตัวผู้” โดยจะใช้เป็นคำสร้อยที่นำมาเรียกต่อท้ายชื่อบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นปู๊ ซึ่งรายงานวิจัยของ สุไลพร ชลวิไล ปี 2555 ได้ให้ความหมายของคำดังกล่าวว่าหมายถึงคนที่แสดงตัวตนเลียนแบบความเป็นชาย และมีผู้หญิงขนาบข้าง ชอบผู้หญิงที่เป็นผู้หญิงจริงๆ โดยผู้หญิงก็จะเรียกว่า “เมียของปู๊”

ยุคปัจจุบัน

ในปี พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) ได้มีการรวมกลุ่มของหญิงรักหญิงเพิ่มขึ้น โดยมีการก่อตั้งกลุ่มของหญิงรักหญิงอย่างเป็นทางการในประเทศไทยในชื่อ กลุ่มอัญจารี มาจากคำว่า “อัญญ” ที่แปลว่า ต่างไป หรือ แปลกไป กับคำว่า “จารี” ที่แปลว่า ผู้ที่เดินบนเส้นทาง รวมทั้ง มีการเผยแพร่คำว่า “หญิงรักหญิง” เกิดขึ้นพร้อมกับการเปิดตัวกลุ่มอัญจารีในปี พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1996) เพื่อต้องการหลีกเลี่ยงการใช้คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่าเลสเบี้ยน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการทำความเข้าใจกับสังคมว่าผู้หญิงที่รักเพศเดียวกันมีอัตลักษณ์และรูปแบบความสัมพันธ์ที่หลากหลาย ไม่ได้มีแค่เฉพาะทอมและดี้เท่านั้น 

พวกเขาได้มีการทำนิตยสารรายเดือนในชื่อ “อัญจารีสาร” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจของการเป็นหญิงรักหญิงในฐานะสิทธิและทางเลือกส่วนบุคคล การนำเสนอความสัมพันธ์ในทุกๆ แง่มุมสังคมทั้งในไทยและต่างประเทศ ทั้งยังช่วยเป็นเครื่องป้องกันกระแสการต่อต้านกลุ่มคนรักเพศเดียวกันในสังคมไทย

เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้าถึงในหลายๆ ภาคส่วนมากยิ่งขึ้น เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับหญิงรักหญิงเริ่มก่อตัวขึ้น หนึ่งในนั้นคือเว็บไซต์ lesla.com ทำให้มีกลุ่มใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นมาจากการพบปะกันบนเว็บไซต์ และเรียกตัวเองว่า กลุ่มเลสล่า ในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) หลังจากนั้นจึงพัฒนามาเป็นการจัดอีเวนต์อย่างเลสล่าปาร์ตี้ สำหรับกลุ่มหญิงรักหญิงโดยเฉพาะ

ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) @tom actz นิตยสารที่เกี่ยวกับหญิงรักหญิงก่อตัวขึ้นมาใหม่และมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  กระทั่งปี พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) ภาพยนตร์ Yes or No อยากรักก็รักเลย เข้าฉายเป็นครั้งแรก ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่สำคัญในการที่มีตัวละครเลสเบี้ยนเป็นตัวละครหลักบนจอภาพยนตร์ นำเสนอภาพตัวแทนของทอมที่ยังมีให้เห็นน้อยมากในสื่อเพศหลากหลายของไทย 

ก่อนจะมีอีกหนึ่งผลงานกระแสหลักที่ฉายทางโทรทัศน์อย่าง Hormones วัยว้าวุ่น Season 2 ออกฉายปี พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) มีตัวละครเลสเบี้ยนปรากฎให้เห็นผ่านหน้าจอเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะเป็นตัวละครประกอบที่เป็นตัวเอกในการดำเนินเรื่องก็ตาม 

ตั้งแต่ พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา ซีรีส์และภาพยนตร์หญิงรักหญิงเริ่มเป็นที่รู้จักมากและเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีภาพตัวแทยในสื่อที่ส่งต่ออคติหรือการเหมารวมกลุ่มคนอัตลักษณ์นี้อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและอ่อนไหว การนำเสนอเรื่องเซ็กซ์ที่มากเกินความจำเป็น ไปจนถึงทัศนคติแบบเดิมอย่างการทำความสัมพันธ์หญิงรักหญิงกลายเป็นตัวประหลาด รวมไปถึงการทำให้เป็นอื่นด้วยการเลือกนำเสนอภาพคู่รักเลสเบี้ยนที่มีความเป็นหญิงสูง (Femininity) ตามมาตรฐานความงามที่สังคมให้คุณค่า และลดทอนการนำเสนอตัวละครที่ไม่อยู่ในขนบดังกล่าวอย่างทอมลงไป 

แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีการนำเสนอตัวละครหญิงรักหญิงเพื่อลบภาพจำแบบเดิม และเพิ่มความหลากหลาย ทั้งในแง่ของศาสนา สังคม และอัตลักษณ์ทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นผลงานอย่าง 23.5 องศาที่โลกเอียง (พ.ศ. 2567 หรือ ค.ศ. 2024) ที่มีการนำเสนอความรักระหว่างผู้หญิงข้ามเพศสองคน หรือ Solids by the Seashore ทะเลของฉัน มีคลื่นเล็กน้อย ถึงปานกลาง (พ.ศ. 2566 หรือ ค.ศ. 2023) บอกเล่าเรื่องราวความรักและการค้นหาตัวเองระหว่างผู้หญิงสองคน ภายใต้ข้อจำกัดทางศาสนาและสังคมที่ล้อมกรอบเอาไว้

นอกจากคำนิยามของคำว่าเลสเบี้ยน ทอมดี้ หรือหญิงรักหญิง ยังมีคำว่า แซฟฟิค ที่ในสังคมไทยยุคหลังมีการหยิบมาใช้กันมากขึ้น เพื่อโอบรับอัตลักษณ์ต่างๆ ใต้ร่มเอาไว้ด้วยกัน แม้ว่าในช่วงแรกที่มีการรณรงค์ใช้คำให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นบนโลกออนไลน์จะถูกมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ในปัจจุบันมีการใช้คำดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ คำว่า แซฟฟิค หมายถึง ร่มคันใหญ่ที่ใช้นิยามถึงเพศวิถีของผู้ที่มีแรงดึงดูดเข้ากับผู้หญิง คนข้ามเพศ บุคคลนอนไบนารี่ที่นิยามตัวเองว่าเป็นแซฟฟิค และรวมไปถึงผู้ที่นิยามว่าตัวเองยึดโยงกับความเป็นหญิงด้วย

ล่าสุด ในปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้สมรสเท่าเทียมเป็นครั้งแรก มอบคืนสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของคู่สมรสผู้มีความหลากหลายทางเพศให้ได้เทียบเท่ากับสามี-ภรรยา ตามกฎหมายเดิมเพื่อให้พวกเขาได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายตามหลักความเสมอภาคและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ก่อให้เกิดสิทธิต่างๆ กับคู่สมรส เฉกเช่นเดียวกับสิทธิของสามี-ภรรยา โดยผูกพันตามกฎหมาย ทั้งในด้านการหมั้น การจดทะเบียนสมรส การจัดการทรัพย์สินสมรส การรับมรดก การรับบุตรบุญธรรม ไปจนถึงสิทธิต่างๆ ที่กฎหมายรับรอง

สมรสเท่าเทียมนับเป็นก้าวแรกของสิทธิที่เท่าเทียมสำหรับชุมชน LGBTQIAN+ ในประเทศไทย โดยการผลักดันสิทธิในประเด็นอื่นๆ อาทิ การรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ คำนำหน้านาม ยังคงต้องดำเนินการต่อ ทั้งการขับเคลื่อนด้านกฎหมายและสังคม 

ปัจจุบันมีภาคประชาชนเข้ามามีส่วนเริ่มในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศเพิ่มขึ้นทั้งบนโลกออนไลน์และในโลกจริง ไม่ว่าจะผ่านแฟนเพจที่ให้ความรู้เรื่องอัตลักษณ์ต่างๆ สำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์ผลงานเควียร์ หรือแม้กระทั่งเว็บไซต์ข่าวสาร

สุดท้ายนี้ นอกเหนือจากการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ Lesbianism ในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจุบัน The Noize Magazine ขอร่วมเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่จะสนับสนุน เผยแพร่ และนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับชุมชนแซฟฟิค เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัย โอบรับทุกคนที่ต้องการทำความเข้าใจ ศึกษาเพิ่มเติม และเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองและคนรอบข้างให้ได้มากที่สุด

Sources:

1, 'include' => $prevPost->ID ); $prevPost = get_posts($args); foreach ($prevPost as $post) { setup_postdata($post); ?>
Previous

1, 'include' => $nextPost->ID ); $nextPost = get_posts($args); foreach ($nextPost as $post) { setup_postdata($post); ?>

Next