แนะนำ 30 ศิลปิน Bisexual ที่คุณควรลองฟังสักครั้ง พร้อมกับบทเพลงที่เปี่ยมไปด้วยพลังและแรงบันดาลใจ

| | ,

ในโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางเพศ หลายคนอาจจะนึกถึงดนตรีป๊อปและร็อกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเฉลิมฉลอง แต่แท้จริงแล้วประวัติศาสตร์ของดนตรีนั้นถักทอเข้ากับเรื่องราวของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคบุกเบิก ดนตรีเป็นมากกว่าแค่ความบันเทิง แต่เป็นพื้นที่แห่งการแสดงออก การท้าทายขนบ และการเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ที่ถูกมองข้าม

The Noize Magazine จะพาทุกคนเดินทางผ่านกาลเวลาเพื่อสำรวจเรื่องราวของ 30 ศิลปิน Bisexual และ Pansexual ที่สร้างสรรค์งานเพลงอันยิ่งใหญ่ และใช้ศิลปะเพื่อบอกเล่าตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา ตั้งแต่ผู้บุกเบิกแห่งยุคบลูส์และแจ๊ส ไปจนถึงศิลปินในยุคปัจจุบันที่ใช้เสียงเพลงเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลก

เสียงจากอดีต: ศิลปินผู้บุกเบิกแห่งยุคบลูส์และแจ๊ส

Ma Rainey – “Mother of the Blues”

Prove It On Me Blues (Remastered)

Ma Rainey หรือ Gertrude “Ma” Rainey ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เจ้าแม่แห่งเพลงบลูส์” (Mother of the Blues) ที่ The Noize Magazine เคยแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักไปใน Black Queer Artists นั่นเอง

Ma Rainey หนึ่งในศิลปินบลูส์ที่โดดเด่นและทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็นการหยิบเอาดนตรีบลูส์มาผสมผสานเข้ากับสไตล์ป๊อปในยุค 1920 การแต่งกายแบบบุช (butch) เมื่อไม่ได้อยู่บนเวที และการเป็น Bisexual อย่างเปิดเผย แม้ว่าในยุคนั้นจะเป็นเรื่องต้องห้ามก็ตาม

เธอเริ่มมีชื่อเสียงในช่วงที่ Harlem Renaissance กำลังรุ่งเรือง (ยุคของวัฒนธรรมแอฟริกัน-อเมริกัน ช่วงกลางปี 1918-1930) หรือยุคที่เขาว่ากันว่าเป็นยุคที่ “เปิดเผยความลับ” ของศิลปินบลูส์ผิวดำที่เป็นเลสเบี้ยนหรือไบเซ็กชวล โดยเฉพาะวงการคลับดนตรีบลูส์ นั่นจึงทำให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและได้รับการยอมรับมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ในประเทศ 

แต่ในขณะเดียวกัน การต่อต้านกลุ่มคนรักเพศเดียวกํนก็ยังคงขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เธอโดนตำรวจชิคาโกจับกุมในข้อหาจัดปาร์ตี้เลสเบี้ยน ที่มีแขกเข้าร่วมงานเป็นกลุ่มคนไบเซ็กชวลและเลสเบี้ยน หลังจากออกจากคุก เธอใช้เสียงของเธอเพื่อท้าทายขนบด้วยการบันทึกเสียงเพลง “Prove It On Me Blues” เอาไว้ด้วย

“They say I do it, ain’t nobody caught me.
Sure got to prove it on me;
Went out last night with a crowd of my friends,
They must’ve been women,
’cause I don’t like no men.”

นี่ถือเป็นอีกหนึ่งรากฐานที่สำคัญในการใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการต่อสู้เพื่อสิทธิและการแสดงออกทางอัตลักษณ์มาตั้งแต่ในยุคนั้น และยังส่งผลต่อการเคลื่อนไหวในวงการดนตรีและสังคมในยุคต่อมาอย่างต่อเนื่อง

Ma Rainey
Genre: Blues
เพลงแนะนำ: Prove It On Me Blues, Sissy Blues, See See Rider Blues 

Billie Holiday – “Lady Day”

Billie Holiday - I'll Be Seeing You (Audio)

Billie Holiday หรือ Eleanora Fagan Gough หรือ “Lady Day” หนึ่งในนักร้องแจ๊สที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เธอเป็นศิลปินอีกคนหนึ่งที่เปิดเผยตัวตนว่าเป็น Bisexual ในยุคที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับ และเคยมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอย่างเปิดเผย เช่น นักแสดงหญิง Tallulah Bankhead แม้บทเพลงของเธอส่วนใหญ่จะไม่ได้พูดถึงความรักระหว่างผู้หญิงโดยตรง แต่บทเพลงของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความจริงที่โหดร้ายของชีวิตของการเป็นคนผิวดำในพื้นที่สหรัฐอเมริกา

เพลง “Strange Fruit” (1939) มาจากบทกวีที่เขียนขึ้นโดย Abel Meeropol ครูและนักเคลื่อนไหวชาวยิวผิวขาว ที่เขียนบทกวีขึ้นมา ต่อมาได้เรียบเรียงทำนอง ก่อนที่จะส่งต่อให้กับ Billie Holiday เพื่อขับร้อง อาจจะเรียกได้ว่าเพลง Strange Fruit เป็นอีกหนึ่งในบทเพลงประท้วงการเหยียดเชื้อชาติที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา โดยใช้บทกวีเพื่อเปรียบเทียบศพของคนผิวดำที่ถูกแขวนคอราวกับกับผลไม้ที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ นักวิชาการจำนวนมากมองว่านี่เป็นเพลงประท้วงเพลงแรกในยุคที่มีสิทธิมนุษยชนเลยก็ว่าได้

เรื่องราวของ Lady Day ถูกหยิบมาเล่าเป็นภาพยนตร์ชีวประวัติอยู่ตลอด แต่ผลงานในปี 1972 เลือกที่จะ “ไม่พูดถึง” ความสัมพันธ์ของเธอกับผู้หญิง แต่ปี 2021 ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดอย่าง The U.S. vs. Billie Holiday ที่กำกับโดย Lee Daniels ผู้กำกับเกย์ ตัดสินใจที่จะนำเสนอเรื่องราวนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าและการยอมรับที่มากขึ้นของสังคมในปัจจุบัน และความจำเป็นในการแก้ไขประวัติศาสตร์ที่ถูกมองข้ามไป

Billie Holiday
Genre: Jazz
เพลงแนะนำ: Strange Fruit, I’ll Be Seeing You, All Of Me, Easy Living และ Good Morning Heartache

Sister Rosetta Tharpe – “Godmother of Rock and Roll”

Up Above My Head, I Hear the Music in the Air

เมื่อพูดถึงร็อกแอนด์โรล หลายคนอาจจะนึกถึงศิลปินชายผิวขาวอย่าง Elvis Presley หรือ Chuck Berry กันอยู่แน่ๆ แต่รู้หรือไม่ว่า Sister Rosetta Tharpe คือศิลปินผู้บุกเบิกร็อกแอนด์โรลในยุคแรกของสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ เธอเกิดในปี 1915 เริ่มเล่นกีตาร์ตั้งแต่ยังเด็ก เธอเป็นคนแรกที่หยิบเอาเพลงกอสเปลมาผสมผสานให้เข้ามาสู่ความเป็นป๊อปได้มากขึ้นเรื่อยๆ เธอเขียนเพลงที่สามารถตีความได้อย่างคลุมเครือว่าจะพูดถึงการภาวนาต่อพระเจ้า หรือเป็นการพูดถึงความรักในเชิงโรแมนติกก็ได้เช่นกัน

เพลง “Strange Things Happening Every Day” (1944) ของ Sister Rosetta Tharpe ได้รับการยกย่องให้เป็นเพลง Rock ‘n’ Roll เพลงแรกของโลก แต่ในยุคนั้น การเหยียดเชื้อชาติยังคงรุนแรง โดยเฉพาะในวงการดนตรี ที่มักจะให้ความสำคัญกับศิลปินผิวขาวผู้ชายเป็นหลัก เพลง “Strange Things Happening Every Day” เป็นเพลงที่โรเซตต้าเขียนขึ้นมาเพื่อตอบโต้การเหยียดเชื้อชาติที่เธอได้เผชิญ 

ในด้านชีวิตส่วนตัว เธอมีความสัมพันธ์กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่งงานและหย่างร้างถึงสองครั้ง ในปี 1946 เธอได้พบกับ Marie Knight นักร้องหญิงที่ร่วมร้องเพลงกับเธอ ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และทำงานเพลงร่วมกันมาตลอด ในวงการเพลงรู้เรื่องราวของเธอ แต่ถูกเก็บเงียบเป็นความลับมาโดยตลอด จนกระทั่งในปี 1950 Marie Knight ต้องเผชิญกับข่าวร้ายของครอบครัว ทำให้เธอต้องหยุดทัวร์และความสัมพันธ์นั้นไป  และโรเซตตาแต่งงานใหม่กับ Russell Morrison ก่อนที่จะเสียชีวิตในปี 1973 ในวันงานศพ Marie Knight ได้มาดูแลร่างของทาร์ปด้วยความรัก โดยจัดแต่งทรงผมของเธอให้เป็นแบบที่เคยทำในยุค ที่ทั้งคู่เคยออกทัวร์ด้วยกัน เพื่อที่จะจดจำผู้หญิงที่เธอรักในแบบนั้นตลอดไป

Sister Rosetta Tharpe
Genre: Gospel, Blues, Rock ‘n’ Roll
เพลงแนะนำ: Strange Things Are Happening Everyday, Shout, Sister, Shout!, Down by the Riverside, Didn’t It Rain, Rock Me, Nobody’s Fault but Mine และ Up Above My Head I Hear Music in the Air

ไอคอนผู้ปฏิวัติวงการ

Lou Reed

Lou Reed - Walk on the Wild Side (Official Audio)

Lou Reed อดีตฟรอนต์แมนของวงร็อกอัลเทอร์เนทีฟอย่าง The Velvet Underground และศิลปินเดี่ยวถือเป็นหนึ่งในศิลปินร็อกยุคแรกๆ ที่มีตัวตนเป็นไบเซ็กชวลอย่างชัดเจน แม้ว่าชีวิตส่วนตัวของเขาจะมีความซับซ้อนในเรื่องรสนิยมทางเพศ แต่เขาก็ได้แต่งงานกับผู้หญิงถึงสองครั้ง และมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับหญิงข้ามเพศชื่อ Rachel ซึ่งเป็นที่รู้กันในวงการแต่ไม่ได้มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ

เขามีบุคลิกเก็บตัว ขี้กังวล และต้องเผชิญกับอาการแพนิก แต่ดนตรีคือสิ่งเยียวยา เขาฝึกฝนการเล่นกีตาร์ด้วยตัวเอง และสร้างความผูกพันกับเพลงร็อกและริธึมแอนด์บลูส์อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ช่วงชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุด เขาต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล จนต้องเข้ารับการบำบัดด้วยไฟฟ้าช็อต (ECT) ตามคำแนะนำของจิตแพทย์ โดยรีดเชื่อว่าการบำบัดนี้มีจุดประสงค์เพื่อรักษารสนิยมรักเพศเดียวกันของเขา และเป็นเหตุการณ์ที่สร้างบาดแผลทางใจจนเขาได้นำมาเขียนเป็นเพลง “Kill Your Sons” ในปี 1974 เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าการบำบัดเหล่านี้สร้างความเสียหายทางจิตใจอย่างรุนแรง และตอกย้ำถึงความสำคัญของการยอมรับตัวตนทางเพศด้วย

Lou Reed
Genre: Rock, art rock, proto-punk, glam rock
เพลงแนะนำ: Walk on the Wild Side, Perfect Day, I’m Waiting for the Man, Sweet Jane, Pale Blue Eyes, Street Hassle

Billie Joe Armstrong (Green Day)

Green Day - Coming Clean [Visualizer]

Billie Joe Armstrong เป็นนักดนตรีชื่อดังชาวอเมริกัน ผู้เป็นทั้งนักร้องนำ มือกีตาร์ และนักแต่งเพลงให้กับวงพังก์ร็อกระดับโลกอย่าง Green Day ที่เขาก่อตั้งร่วมกับ Mike Dirnt ตั้งแต่อายุ 15 ปี พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างสูงจากอัลบั้ม ‘Dookie’ และยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีกด้วยอัลบั้มร็อกโอเปรา ‘American Idiot’ ที่ขยายขอบเขตทางดนตรีของวงไปสู่แนวทางที่กว้างขึ้นและมีเนื้อหาทางการเมืองมากขึ้น นอกจากบทบาทใน Green Day แล้ว Billie Joe Armstrong ยังได้สร้างสรรค์ผลงานในโปรเจกต์คู่ขนานอีกหลายวง ซึ่งตอกย้ำถึงความสามารถและอิทธิพลทางดนตรีที่กว้างขวางของเขา

นอกจากความสำเร็จในฐานะนักดนตรีแล้ว Billie Joe Armstrong ยังเปิดเผยตัวตนในฐานะไบเซ็กชวลอย่างเปิดเผยมาตั้งแต่ปี 1995 โดยเขาเชื่อว่าความเป็นไบเซ็กชวลเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่เกิด และเป็นความงามที่สังคมพยายามปิดกั้น เรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลงอย่าง “Coming Clean” ในปี 1994 และล่าสุดกับเพลง “Bobby Sox” ในปี 2024 ซึ่งเป็นเพลงที่เชิดชูคนไบเซ็กชวลอย่างชัดเจน การเปิดเผยตัวตนของเขาไม่เพียงแต่สร้างความเข้าใจ แต่ยังช่วยส่งเสริมให้ผู้คนยอมรับในความหลากหลายทางเพศมากขึ้นอีกด้วย

Billie Joe Armstrong (Green Day)
Genre: Punk-rock
เพลงแนะนำ: Jesus of Suburbia, Basket Case, American Idiot, 21 Guns และ Wake Me Up When September Ends

Living Colour

Living Colour - Bi

Living Colour เป็นวงร็อกแนว Alternative/Funk Metal จากนิวยอร์กที่โดดเด่นด้วยสมาชิกผิวดำ พวกเขาใช้ดนตรีเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นทางสังคมและการเมืองมาโดยตลอด ในปี 1993 พวกเขาได้ปล่อยอัลบั้ม Stain ที่มีเพลงชื่อ “Bi” อีกหนึ่งในการแสดงออกที่ชัดเจนที่สุดเกี่ยวกับตัวตนของคน Bisexual ในวงการร็อกยุค 90s การที่วงร็อกผิวสีพูดถึงเรื่องนี้ในเพลงของตัวเองถือเป็นการทำลายกรอบและขยายขอบเขตของการแสดงออกทางเพศในแนวเพลงที่มักถูกมองว่าเน้นผู้ชายผิวขาวเป็นหลักอีกด้วย

นอกจากนี้แล้ว David Bowie ยังเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Oor ในปี 1993 เกี่ยวกับเพลง Bi จากอัลบั้ม Stain ของ Living Colour อีกด้วย “คุณได้ยินอัลบั้มล่าสุดของ Living Colour ไหม Vernon Reid เขียนเพลงเกี่ยวกับไบเซ็กชวล ผมคิดว่าเขาเป็นคนดีมาก กล้าหาญมาก เพราะผมคิดว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้ ผู้คนไม่ควรถูกทำให้รู้สึกว่าควรปิดบังรสนิยมทางเพศของตัวเอง ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาอันตรายสำหรับทุกคนที่ต้องการสำรวจรสนิยมทางเพศของตัวเอง เซ็กส์กำลังกลายเป็นเรื่องต้องห้ามอีกครั้ง และผมคิดว่าผู้คนควรสามารถพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ตราบใดที่ยังมีการถกเถียงกันอย่างเปิดกว้าง คุณจะป้องกันไม่ให้กลุ่มที่เรียกว่าศาลเตี้ยใช้โรคเอดส์เป็นข้ออ้างในการเลือกปฏิบัติและแยกกลุ่มคนบางกลุ่มออกจากสังคม”

“ด้วยเหตุนี้ คนเหล่านี้จะหันกลับมาสนใจตัวเอง หรือไม่ทดลองกับรสนิยมทางเพศของตัวเอง หรือที่แย่กว่านั้นคือ แสร้งทำเป็นเพศที่แตกต่างจากความเป็นจริง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่อันตรายมาก คงเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับคนหนุ่มสาวในปัจจุบันที่ต้องติดอยู่ในกรอบที่ขัดกับธรรมชาติของพวกเขา คุณต้องต่อต้านสิ่งนี้ต่อไป การทดลองทางเพศอาจเป็นอันตรายในตอนนี้ แต่อันตรายไม่ควรเป็นเหตุผลที่จะหยุดยั้งผู้คนจากการเป็นอย่างที่คุณอยากเป็น”

Living Colour
Genre: Hard rock, funk metal, alternative metal
เพลงแนะนำ: Cult of Personality, Memories Can’t Wait, Bi, Open Letter (To a Landlord) และ Funny Vibe

สุ้มเสียงจากแดนไทย

แอม เสาวลักษณ์: เจ้าหญิงแห่งร็อกยุค 90s

ทางเดินแห่งรัก

เสาวลักษณ์ ลีละบุตร หรือ แอม คือนักร้อง-นักแต่งเพลงระดับตำนานของไทย ที่มีผลงานเพลงฮิตมากมาย แอม เสาวลักษณ์ เปิดเผยอย่างชัดเจนในรายการหนึ่งเมื่อปี 2561 ว่าเธอเป็น “Bisexual” ชอบทั้งผู้ชายและผู้หญิง และคนรักก็รับรู้ในอัตลักษณ์ของเธอด้วย การตัดสินใจเปิดเผยในวัย 50 นี้แสดงให้เห็นว่าการยอมรับตนเองใช้เวลา และการเปิดเผยในภายหลังสามารถส่งผลเชิงบวกอย่างมหาศาลต่อแฟนเพลงรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ เป็นการตอกย้ำว่าตัวตนของศิลปินสามารถส่งผลกระทบและเป็นแรงบันดาลใจได้ตลอดช่วงชีวิตการทำงาน

แอม เสาวลักษณ์
Genre: Rock
เพลงแนะนำ: กดดัน”, “ผิดไหมที่รักเธอ”, และ “ครึ่งหนึ่งของชีวิต

MILLI: แร็ปเปอร์เจนใหม่ผู้สร้างแรงกระเพื่อมระดับโลก

MILLI - Not Yet! (Prod. by SPATCHIES) | YUPP!

ดนุภา คณาธีรกุล หรือ MILLI เป็นตัวแทนของศิลปิน Gen Z แจ้งเกิดจากการเป็นผู้เข้าแข่งขันในรายการ The Rapper และเป็นศิลปินหญิงคนเดียวของค่าย YUPP! การแสดงของเธอที่เทศกาลดนตรี Coachella ในปี 2022 ทำให้เธอเป็นศิลปินเดี่ยวจากไทยคนแรกที่ได้ขึ้นโชว์บนเวทีระดับโลก

MILLI
Genre: T-Pop, Hip Hop
เพลงแนะนำ: พักก่อน, สุดปัง

ศิลปิน Pop และ Indie Pop Bisexual ที่อยากให้คุณลองฟัง

Lady Gaga

Lady Gaga - Poker Face (Official Music Video)

Lady Gaga หรือ Stefani Joanne Angelina Germanotta ศิลปินและป๊อปไอคอนจากนิวยอร์ก เธอเริ่มเส้นทางดนตรีด้วยการเล่นเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เธอเริ่มต้นจากการเป็นนักดนตรีอิสระในย่านดาวน์ทาวน์ของนิวยอร์ก ก่อนจะเซ็นสัญญาและเปิดตัวอัลบั้มแรก The Fame ในปี 2008 ซึ่งทำให้เธอก้าวสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์อย่างรวดเร็ว 

ด้วยสไตล์ดนตรีที่ผสมผสานระหว่าง pop, dance, electronic, rock และ jazz ได้อย่างลงตัว อัลบั้มนี้มีเพลงฮิตติดชาร์ตอย่าง “Just Dance” และ “Poker Face” ซึ่งเพลงหลังนี้ได้กลายเป็นเพลงประจำตัวของกลุ่มคน bi ไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ Lady Gaga ยังเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิ Born This Way Foundation เพื่อสนับสนุนเยาวชนและต่อต้านการกลั่นแกล้ง ที่สำคัญคือเลดี้ กาก้า เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอเป็น bisexual และเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญให้กับชุมชน LGBTQIAN+ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดถึงปัญหา bi-erasure ที่เกิดขึ้นในสังคมและในชุมชน LGBTQIAN+ เอง ซึ่งช่วยจุดประกายให้เกิดการสนทนาที่สำคัญเกี่ยวกับประเด็นนี้

Lady Gaga
Genre: pop, dance, electronic, rock และ jazz
เพลงแนะนำ: Bad Romance, Poker Face, Just Dance, Born This Way

AURORA

Aurora Aksnes หรือที่รู้จักในนาม AURORA เติบโตขึ้นท่ามกลางธรรมชาติในประเทศนอร์เวย์ ซึ่งหล่อหลอมให้เธอเป็นศิลปินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เธอเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบ และสร้างชื่อเสียงในระดับโลกด้วยเสียงร้องอันไพเราะและดนตรีที่ผสมผสานระหว่างป๊อปอิเล็กทรอนิกส์กับโฟล์กได้อย่างลงตัว ผลงานในช่วงแรกอย่างอีพี “Running with the Wolves” และอัลบั้ม “All My Demons Greeting Me as a Friend” สะท้อนให้เห็นถึงโลกภายในของเธอ ก่อนที่เธอจะก้าวสู่การเป็นศิลปินระดับโลกที่ทัวร์คอนเสิร์ตในเทศกาลดนตรีใหญ่ๆ ทั่วโลก

เส้นทางดนตรีของ AURORA คือการเดินทางแห่งการเติบโต ทั้งในฐานะศิลปินและมนุษย์ อัลบั้มสองภาคอย่าง “Infections of a Different Kind” และ “A Different Kind of Human” แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาในงานเพลงและมุมมองที่ลึกซึ้งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลง “The Seed” ที่กลายเป็นกระบอกเสียงสำคัญในการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม ความสามารถของเธอไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสร้างสรรค์ดนตรีที่ไพเราะ แต่ยังรวมถึงการสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับแฟนเพลงที่เธอเรียกว่า “Warriors and Weirdos” ซึ่งทำให้บทเพลงของเธอเข้าถึงจิตใจของผู้คนได้อย่างแท้จริง

เธอยังเป็นกระบอกเสียงสำคัญในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยใช้ชื่อเสียงของเธอเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน สุขภาพจิต การเมือง และความเท่าเทียมทางเพศมาโดยตลอด

AURORA
Genre: Art Pop, Nordic Folk, Synth-Pop, Electropop
เพลงแนะนำ: Cure For Me, Queendom, Runaway, และ Running With The Wolves

Halsey

Colors (Orchestral)

Halsey หรือ Ashley Frangipane เริ่มต้นการเดินทางบนเส้นทางดนตรีตั้งแต่อายุ 17 ปี ในปี 2012 ศิลปิน electropop ผู้นี้ได้ใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นเวทีในการแบ่งปันบทเพลงของเธอ นอกเหนือจากนี้แล้ว เธอยังเป็นกระบอกเสียงที่ทรงพลังให้กับกลุ่ม LGBTQIAN+ อย่างต่อเนื่องอีกด้วย 

Halsey ไม่เพียงแต่บริจาคเงินให้กับองค์กรที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ แต่ยังได้ถักทอร้อยเรียงเรื่องราวเพศวิถีแบบ bisexuality ของเธอลงในบทเพลงอย่างเปิดเผย พร้อมทั้งพูดถึงความท้าทายที่ต้องเผชิญ เช่น การถูกมองข้ามหรือการถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงช่วงหนึ่งของชีวิต ในสุนทรพจน์บนเวที GLAAD Media Awards ปี 2018 เธอกล่าวว่า “ฉันเป็นหญิงสาว bisexual และฉันได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่เพื่อพยายามพิสูจน์ตัวเองให้เพื่อน, ครอบครัว และแม้แต่ตัวเองเห็นว่าคนที่ฉันรักและความรู้สึกของฉันไม่ใช่แค่ช่วงหนึ่งของชีวิต มันไม่ใช่ความสับสนที่จะเปลี่ยนไปหรือถูกชักจูงได้”

Halsey
Genre: Electropop, alternative pop และ art pop
เพลงแนะนำ: Lonely is the Muse, Easier than lying, Clementine, Without Me

dodie

dodie - She (Live) | Vevo DSCVR

Dodie Clark หรือที่รู้จักในชื่อ dodie คือนักร้อง-นักแต่งเพลงชาวอังกฤษที่แจ้งเกิดจากการเป็น YouTuber เธอใช้แพลตฟอร์มส่วนตัวเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ฟังของเธอ บทเพลงของเธอเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์และเข้าถึงง่าย โดยเฉพาะเพลง I’m Bisexual – a coming out song ซึ่งเป็นบทเพลงที่เธอแต่งขึ้นเพื่อประกาศตัวตนอย่างตรงไปตรงมาที่สุดเพลงหนึ่ง การที่เธอทำเพลงเปิดตัวที่ใช้ชื่อตรงๆ ว่า “I’m Bisexual” เป็นการตัดขั้นตอนความซับซ้อนของการสื่อสารที่ซ่อนเร้นที่ศิลปินยุคก่อนใช้ ทำให้การสื่อสารตรงไปตรงมาและเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังที่เป็น LGBTQIAN+ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

dodie
Genre: Indie pop
เพลงแนะนำ: Sick of Losing Soulmates, don’t quite belong, special girl, rainbow และ Darling, Angel, Baby

mxmtoon

mxmtoon - feelings are fatal (revisited) [official visualizer]

mxmtoon หรือ Maia X. M. T. ศิลปินอเมริกัน เชื้อสายจีนและเยอรมัน เธอเป็นที่รู้จักจากโซเชียลมีเดียจนมีแฟนๆ ติดตามอย่างเหนียวแน่น  บทเพลงของเธอเต็มไปด้วยเนื้อหาที่เหมือน “rhyming diary entries” และพูดถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนของชีวิตวัยรุ่น เช่น การเป็นคนหลายเชื้อชาติ การที่เธอเชื่อมโยงตัวตน Bisexual เข้ากับปัญหาเรื่องเชื้อชาติแสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งของประเด็นความหลากหลายทางอัตลักษณ์ (Intersectionality) ในศิลปินรุ่นใหม่ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนมากขึ้น 

Maia ปล่อยเพลง feelings are fatal ครั้งแรกในปี 2017 และกลับมาสำรวจอัลบั้ม Plum Blossom อีกครั้งในวัย 23 ปี ก่อนที่จะปล่อย ‘feelings are fatal (revisited)‘ ออกมาให้ฟังกัน เธอบอกว่า “ฉันเขียนเพลง feelings are fatal ตอนอายุ 17 ดีเพรส และยังไม่คัมเอ้าท์เลย และยินดีที่จะบอกกับทุกคนว่า ตอนนี้ฉันอายุ 23 ดีเพรสน้อยลง และภูมิใจในการเป็นไบเซ็กชวลมาหกปีแล้ว!”

mxmtoon
Genre: Bedroom pop
เพลงแนะนำ: prom dress, feelings are fatal, และ cliché

Clairo

Clairo หรือ Claire Elizabeth Cottrill นักร้อง นักแต่งเพลง และนักดนตรีแนวอินดี้ป็อปชาวอเมริกัน เธอเริ่มทำเพลงตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นด้วยการอัดเสียงเพลงคัฟเวอร์ในห้องนอนและอัปโหลดเพลงลงบนแพลตฟอร์มออนไลน์ แจ้งเกิดในปี 2017 จากวิดีโอเพลง “Pretty Girl” ที่เธอทำเองกลายเป็นไวรัลบน YouTube ความสำเร็จนี้ทำให้เธอได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงและเริ่มออกทัวร์คอนเสิร์ตในวงกว้าง

ในเรื่องส่วนตัว Clairo ได้เปิดเผยตัวตนว่าเป็นไบเซ็กชวลผ่านโซเชียลมีเดียในปี 2018 เธอเล่าว่าการได้พบเพื่อนๆ ที่เปิดเผยตัวตนในมหาวิทยาลัยทำให้เธอมีความกล้าที่จะยอมรับในเพศวิถีของตัวเองมากขึ้น ประสบการณ์นี้ไม่เพียงแต่ทำให้เธอรู้สึกสงบและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่ยังส่งผลดีต่อการเขียนเพลงของเธอด้วย เพราะเธอสามารถถ่ายทอดเรื่องราวจากประสบการณ์จริงได้อย่างตรงไปตรงมา 

Clairo ใช้พื้นที่ของเธอในการเป็นกระบอกเสียงให้กับประเด็นทางสังคม เช่น สิทธิของ LGBTQIAN+ โดยหวังที่จะสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยให้กับแฟนเพลงที่กำลังสำรวจตัวตนของตนเอง เพื่อให้พวกเขาได้รู้สึกมีพลังและกล้าที่จะเป็นตัวเองอย่างแท้จริง

Clairo
Genre: Bedroom pop, indie pop, indie rock
เพลงแนะนำ: Pretty Girl, Terrapin, Juna, Add Up My Love, Echo, Glory of the Snow

Orla Gartland

Orla Gartland - I Go Crazy

Orla Gartland นักร้อง-นักแต่งเพลงจากดับลิน ได้สร้างชื่อเสียงบนเส้นทางดนตรีด้วยการยึดมั่นในวิถีของตัวเองตั้งแต่อายุ 14 ปี โดยเริ่มต้นจากการอัปโหลดวิดีโอเพลงลงบน YouTube ซึ่งทำให้เธอมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นและมีผู้ติดตามกว่าสองแสนคน อย่างไรก็ตาม เมื่อเรียนจบ เธอก็ตัดสินใจย้ายไปลอนดอนเพื่อผลักดันตัวเองในฐานะนักดนตรีอย่างเต็มตัว โดยปฏิเสธที่จะเซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหญ่ แต่เลือกใช้แพลตฟอร์ม Patreon เพื่อให้แฟนๆ สนับสนุนเธอโดยตรง ซึ่งทำให้เธอยังคงเป็นอิสระทางความคิดและมีอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่

เธอเปิดตัวว่าเป็น Bisexual ผ่านทวิตเตอร์ในปี 2021 แม้ว่าเธอจะเคยพูดถึงประเด็นนี้บ้างแล้ว แต่การเปิดตัวอย่างเป็นทางการนั้น ช่วยให้ตัวของเธอกล้าที่จะพูดเรื่องนี้ในชีวิตจริง และค่อยๆ ยอมรับในตัวเองด้วยเช่นกัน เพราะการที่เธอเรียนในโรงเรียนคาทอลิกหญิงล้วนที่มักสอนว่าต้องเก็บงำทุกอย่างไว้ในใจอย่างเดียว แม้ว่าในตอนนี้เธอจะไม่ได้คบกับผู้หญิง แต่การที่เธอได้เปล่งเสียงยอมรับว่าเธอเองก็มีความรู้สึกดึงดูดผู้หญิงได้ ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจอย่างมาก ซึ่งทำให้เธอเข้าใจอย่างแท้จริงว่าเพศวิถีไม่ได้ถูกนิยามจากคนที่คุณคบหาเท่านั้น 

Orla Gartland
Genre: indie-pop, rock
เพลงแนะนำ: I go crazy, Why Am I Like This?, Did it to myself

Dove Cameron

Dove Cameron - Boyfriend (Official Video)

Dove Cameron นักแสดงและนักร้องชาวอเมริกันที่เติบโตมาในวงการบันเทิงและมีชื่อเสียงจากผลงานของ Disney เธอเริ่มเป็นที่รู้จักจากบทบาทคู่ในซีรีส์ Liv and Maddie และยังเป็นที่รักจากบท Mal ในภาพยนตร์เรื่อง Descendants หลังจากที่เธอเติบโตและก้าวออกจากบทบาทของ Disney เธอยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ดอฟยังได้ผันตัวเข้าสู่วงการเพลงอย่างจริงจัง และได้ปล่อยซิงเกิลต่าง ๆ รวมถึงเพลงฮิตล่าสุดอย่าง LazyBaby ที่ประสบความสำเร็จอย่างดี

นอกเหนือจากอาชีพที่โดดเด่นแล้ว Dove Cameron ยังเป็นที่พูดถึงอย่างมากในเรื่องการเปิดเผยตัวตนว่าเป็น queer ในปี 2020 เธอเคยกล่าวถึงตัวเองว่าเป็น bisexual แต่หลังจากนั้นก็ได้ใช้คำว่า queer เพื่ออธิบายตัวตนที่แม่นยำที่สุด เธอเปิดเผยเรื่องนี้ผ่านการไลฟ์ใน Instagram โดยมีจุดประสงค์เพื่อต้องการเป็นตัวแทนและสร้างแรงบันดาลใจให้กับกลุ่ม LGBTQIAN+ เธอยอมรับว่าการเปิดเผยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่เธอก็เลือกที่จะเป็นตัวเองอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา โดยไม่ประนีประนอมกับตัวตนเพื่อความสบายใจของคนอื่น ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สร้างความกล้าหาญให้กับผู้คนในชุมชน LGBTQIAN+

Dove Cameron
Genre: Pop, Rock
เพลงแนะนำ: “Boyfriend และ So Good

Mad Tsai

mad tsai - boy bi (lyric video)

Jonathan Andrew Tsai หรือ Mad Tsai นักร้อง-นักแต่งเพลงลูกครึ่งไต้หวัน-เปรู-อเมริกัน แจ้งเกิดจากการทำเพลง “Boy Bi” เพื่อบอกเรื่องราวกับแม่ของเขาบน TikTok ซึ่งกลายเป็นไวรัล ทำให้เขาสามารถสร้างฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น สำหรับผลงานเพลงของ Mad Tsai เขาเองก็ยังคงปล่อยเพลงออกมาอย่างต่อเนื่องให้แฟนๆ ได้ฟังกันมาโดยตลอด

Mad Tsai
Genre: Indie-pop, synth-pop
เพลงแนะนำ: Boy bi, That friend, Heartbreak honeymoon, และ Stacy’s brother

Beth McCarthy

Beth McCarthy - Good Bi (Visualiser)

Beth McCarthy ศิลปินป๊อป-ร็อกจากเมืองยอร์ก เป็นกระบอกเสียงสำคัญในชุมชนไบเซ็กชวล เส้นทางของเธอเริ่มต้นในปี 2021 เมื่อเพลง “She Gets The Flowers” ของเธอโด่งดังบนอินเทอร์เน็ต ตามมาด้วยอีพีไวรัล “IDK How To Talk To Girls” นอกจากนี้แล้ว เธอยังใช้แพล็ตฟอร์มโซเชียลมีเดียในการโปรโมตผลงานเพลงของเธอ ไปพร้อมๆ กับสร้างพลังบวกให้กับชุมชน LGBTQIAN+ โดยเฉพาะคลิปที่แฟนคลับหญิงข้ามเพศขอให้เธอช่วยตั้งชื่อใหม่ให้ระหว่างที่เธอแสดงคอนเสิร์ต นั่นถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของเธอ ที่ต้องการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเควียร์ทุกคน

สำหรับเพลง ‘Good Bi’ เล่าถึงความท้าทายที่ผู้หญิงไบเซ็กชวลต้องเผชิญ และความรู้สึกของการยอมรับตัวเองท่ามกลางอุปสรรคเหล่านั้น ตัวเนื้อเพลงสะท้อนถึงคำดูถูกที่คนไบเซ็กชวลมักถูกตอกย้ำ เช่นประโยค “ฉันโลภไปหน่อย หรือช่างต้องการมากเกินไป” หลังจากนั้นเธอได้อธิบายประสบการณ์ทางเพศวิถีได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งการตกหลุมรักกับคนที่หลากหลายประเภท ไปจนถึงด้านลบที่ตามมาพร้อมกัน 

โดยเฉพาะท่อนที่ว่า “how could anybody hate a good bi?” ไม่ใช่แค่เล่นคำอย่างเดียว แต่ยังสรุปแก่นของเพลงไว้ในบรรทัดเดียว เธอกำลังเป็นตัวเองโดยไม่รู้สึกผิด และเห็นว่านี่คือชัยชนะของทุกคน เพราะในท้ายที่สุด “ใครกันจะเกลียดไบดี ๆ ได้ลงล่ะ”

Beth McCarthy
Genre: Pop, rock
เพลงแนะนำ: She Gets the Flowers, Omg Did She Call Him Baby?, Good Bi และ She’s Pretty

Baby Queen

Baby Queen - We Can Be Anything (Official Video)

Baby Queen หรือ Bella Latham เกิดที่เมืองเดอร์บัน แอฟริกาใต้ และตอนนี้ก็ย้ายมาทำเพลงที่ลอนดอน เธอเป็นศิลปินหน้าใหม่ของวงการป๊อป เดบิวต์ด้วยเพลงแรกอย่าง Internet Religion เพลงของเธอเล่าถึงเรื่องราวปัญหาต่างๆ ของคนในยุคเจน Z ทั้งเรื่องปัญหาการติดอินเทอร์เน็ต สุขภาพจิต ไปจนถึงการเล่าประสบการณ์ที่เธอผ่านมาเองก็ด้วย

Baby Queen
Genre: Pop, Anti-Pop
เพลงแนะนำ: Dream girl, We can be anything. Nobody Really Cares

ศิลปิน Indie Rock และ Alternative Bisexual ที่น่าติดตาม

Phoebe Bridgers

Phoebe Bridgers นักร้อง นักดนตรี และนักแต่งเพลงแนวอินดี้ร็อกชาวอเมริกัน เธอเริ่มเล่นกีตาร์ตั้งแต่อายุ 13 ปี และใช้ทักษะในการเล่นดนตรีเปิดหมวกหารายได้พิเศษตามตลาดเกษตรกร ก่อนที่จะเข้าศึกษาด้านแจ๊ส เนื้อเพลงของเธอมักจะถ่ายทอดเรื่องราวส่วนตัวอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความอกหัก สุขภาพจิต ตัวตน หรือการตั้งคำถามเกี่ยวกับความหมายของการมีชีวิตอยู่ นอกจากผลงานเดี่ยวแล้ว เธอยังเป็นสมาชิกวง boygenius และ Better Oblivion Community Center ด้วย

นอกเหนือจากความสำเร็จทางดนตรี Phorbe Bridgers ถือเป็นอีกหนึ่งศิลปิน bisexual ที่เปิดเผยมากๆ  เธอเริ่มออกเดทกับผู้หญิงตั้งแต่มัธยมปลาย และเคยให้สัมภาษณ์ถึงความยากลำบากที่เธอต้องเผชิญเมื่อเปิดเผยตัวตนกับครอบครัวตั้งแต่อายุ 15 ปี แต่ในที่สุดก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้ ด้วยประสบการณ์ส่วนตัวเหล่านี้ ทำให้เธอได้กลายเป็นนักเคลื่อนไหวที่แข็งขันเพื่อสิทธิของกลุ่ม LGBTQIAN+ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับแฟนๆ อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการยอมรับตัวตนที่แท้จริงผ่านเสียงเพลงของเธอ

Phoebe Bridgers
Genre: Pop
เพลงแนะนำ: Motion Sickness, I Know the End และ Kyoto

Arlo Parks

Arlo Parks - Too Good (Official Video)

Arlo Parks ศิลปินป๊อปผิวดำชาวอังกฤษที่ได้รับรางวัล Mercury Prize บทเพลงของเธอเป็นเหมือนบทกวีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอบโยน เปิดใจถึงการที่ตัวตนของเธอในฐานะศิลปิน Bisexual มีอิทธิพลต่อบทเพลงของเธออย่างไร และทำไมดนตรีถึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับชุมชนเควียร์ เธอสร้างชื่อเสียงในฐานะศิลปินที่กล้าหาญและไม่เกรงกลัวที่จะเป็นตัวเอง ในบทสัมภาษณ์กับ Spotify เธอกล่าวว่า “ตัวตนเควียร์ของฉันแทรกซึมอยู่ในบทเพลงเสมอมา เพราะนั่นคือตัวตนของฉัน” เธอมองว่าดนตรีเปรียบเสมือนสมุดบันทึกส่วนตัวที่ช่วยให้เธอทำความเข้าใจโลกและมั่นใจในตัวตนของตัวเองมากขึ้น

Arlo Parks เปิดเผยว่าเธอเป็นไบเซ็กชวล ในปี 2019 และเธอมองว่าการเปิดเผยตัวตนในครั้งนั้นเป็นเรื่องที่ปลดปล่อย เพราะทำให้เธอสามารถพูดถึงประสบการณ์และความรู้สึกที่เกี่ยวกับผู้คนบางกลุ่มได้อย่างอิสระมากขึ้น ดนตรีจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมโยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มคนเควียร์ที่มักจะค้นหาความสบายใจจาก “ครอบครัวที่เลือกเอง” นอกจากนี้เธอยังรู้สึกว่าการนำเสนอเรื่องราวของคนเควียร์ผ่านดนตรีเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างตัวแทนในสังคม และทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธออยากจะมอบคืนให้แก่แฟนเพลงของเธอ

Arlo Parks
Genre: Indie pop
เพลงแนะนำ: Hope, Eugene, Caroline และ Too Good

Ahli

Ahli - "Girls Kissing Girls" (Official Audio)

Ahli ศิลปินป็อปจากแนชวิลล์ มีแรงบันดาลใจจากศิลปินจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Maggie Rogers, Troye Sivan ไปจนถึง Elton John ผลงานเพลงของ Ahli จึงมีความสดใหม่และน่าสนใจอยู่เสมอ 

เขานิยามตัวเองว่าเป็น pansexual และ gender-neutral และแม้ว่าจะเติบโตในเมืองที่อนุรักษ์นิยม การเปิดเผยตัวตนใน ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก จนกระทั่งได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนประจำและตัดสินใจเปิดเผยตัวตนว่าเป็น pansexual ให้กับพ่อแม่ฟังเมื่ออายุ 20 ปี ประสบการณ์การเติบโตและการค้นพบตัวตนในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายนี้ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างสรรค์บทเพลงของเขา เพลงใน EP ชุด “Girls Kissing Girls” อย่างเพลงไตเติ้ล ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ “ความสุขแบบเควียร์” ที่ Ahli ต้องการสื่อสารผ่านเนื้อเพลงเชิงบวกและดนตรีที่สดใส

Ahli
Genre: Indie, Pop, R&B
เพลงแนะนำ: Girls Kissing Girls, Pretty Nervous, Poster Kid, Sleeping Over on the Weekends, Do You Like Me Like That

King Kitty

King Kitty ศิลปิน แรปเปอร์ และ TikToker ที่เน้นในมุมมองเรื่องศิลปะ ดนตรี ไปจนถึงประเด็นสังคมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อเกี่ยวกับการทำแท้ง หรือแม้กระทั่งอัตลักษณ์ทางเพศ ที่เธอปล่อยเพลง “Bisexual” ออกมาให้แฟนๆ ได้ฟังกันนั่นเอง

King Kitty
Genre: Rapper
เพลงแนะนำ: Bisexual, Feed, No Need To Get Political

Rock และ Punk ที่เต็มไปด้วยพลัง

NOAHFINNCE

NOAHFINNCE - KINDA LOVE IT

NOAHFINNCE หรือ Noah Finn Adams นักร้อง-นักแต่งเพลงชาวอังกฤษที่โด่งดังจาก YouTube เขาใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับประเด็น LGBTQIAN+ และการเดินทางของตัวเอง เขาหลงใหลในดนตรี Emo และ Pop-punk จนผันตัวมาเป็นศิลปินที่สร้างพื้นที่ปลอดภัยบนโลกออนไลน์เพื่อคนข้ามเพศ เพลง “Asthma Attack” เป็นเพลงที่เขาแต่งขึ้นเพื่ออธิบายความรู้สึกของการเป็น Transgender และการใช้ชีวิตสองแบบ  อัลบั้มแรก ‘Growing Up On The Internet’ คือการประกาศความมั่นใจที่มาพร้อมกับท่วงทำนองอันเปี่ยมไปด้วยพลังและหลากหลายแนวเพลง ซึ่งสะท้อนตัวตนของเขาที่เปิดรับทุกสิ่งอย่างมั่นใจ

อัลบั้ม ‘Growing Up On The Internet‘ เป็นอีกพื้นที่ที่โนอาห์สามารถปลดปล่อยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ทั้งความโกรธ ความเจ็บปวด และการเยียวยาจากประสบการณ์การใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน ตั้งแต่การโจมตีกลุ่มคนข้ามเพศ ไปจนถึงการสำรวจบาดแผลส่วนตัวในวัยเด็ก เขาหวังว่าอัลบั้มนี้เป็นดังแสงสว่างที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เผชิญความโดดเดี่ยวในโลกที่วุ่นวายใบนี้เพียงลำพัง และตอกย้ำให้เห็นว่าความเข้าใจและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนั้นมีความสำคัญเพียงใด

NOAHFINNCE
Genre: Alternative rock, Pop-punk
เพลงแนะนำ: SCUMBAG, LIFE’S A BIT, Lalala, Underachiever, I KNOW BETTER และ GROWING UP ON THE INTERNET

Carrie Brownstein (Sleater-Kinney)

Sleater-Kinney - One More Hour

Carrie Brownstein หนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งวง Sleater-Kinney วงพังก์ร็อกที่มีอิทธิพลมีต่อวงการดนตรีและขบวนการ Riot Grrrl ในยุค 90s และเป็นกลุ่มผู้บุกเบิกการต่อสู้กับแนวคิดชายเป็นใหญ่ผ่านบทเพลงของพวกเขา เธอเลือกที่จะปกป้องพื้นที่ส่วนตัวและไม่ต้องการนำเสนอความสัมพันธ์ต่อสาธารณะ ประสบการณ์ที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวของเธอกับ Corin Tucker เพื่อนร่วมวงเคยถูกเปิดเผยในนิตยสาร SPIN โดยที่ทั้งคู่ยังไม่ทันได้บอกครอบครัว ซึ่งทำให้เธอต้องเผชิญกับความยากลำบากในการควบคุมเรื่องราวส่วนตัวของตัวเอง

ถึงแม้จะต้องเจอกับประสบการณ์ดังกล่าว แต่แครีก็เลือกที่จะยอมรับและเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มคน LGBTQIAN+ มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นผ่านทางบทเพลงของ Sleater-Kinney หรือแม้กระทั่งส่วนตัวของเธอเองก็ตาม “การที่ได้บอกว่าคุณเป็นใครเป็นเรื่องสำคัญในโลกแบบนี้นะ ฉันเป็น bisexual อย่างแน่นอน ทุกคนที่น่าสนใจที่ฉันเคยอ่านเรื่องราวของพวกเขาต่างก็มีเพศวิถีที่หลากหลาย มันไม่เคยถูกจำกัดอย่างชัดเจน ฉันแค่ใช้ชีวิตในโลกที่เปิดกว้างใบนี้มาโดยตลอด แต่ในสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันที่ยังมีเหตุการณ์ฆ่าตัวตายของเยาวชนเกย์จำนวนมาก และยังมีนักการเมืองอีกมากมายที่ต่อต้านการแต่งงานของคนเพศเดียวกันอย่างรุนแรง มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะไม่เปิดเผยตัวตนในแบบที่ทำให้ผู้คนรู้ว่า “ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ก็ไม่เป็นไร” มันแปลกนะ เพราะไม่เคยมีใครถามฉันจริง ๆ ผู้คนมักจะแค่สรุปเอาเองว่าคุณเป็นแบบนั้นหรือแบบนี้ ฉันก็เลยคิดว่า “โอเค ฉันเป็นไบเซ็กชวล ก็แค่ถามมาสิ””

เธอบอกกับ Diva Magazine ด้วยว่า “ฉันไม่สนใจที่จะใช้ชีวิตในโลกแบบคนรักต่างเพศ (straight) ฉันรู้สึกว่าแนวคิด heteronormativity (บรรทัดฐานทางเพศแบบคู่รักชายหญิง) และ homonormativity (บรรทัดฐานทางเพศแบบคู่รักเพศเดียวกัน) ค่อนข้างน่าเบื่อ”

Carrie Brownstein (Sleater-Kinney)
Genre: Alternative/Indie, Rock
เพลงแนะนำ: One More Hour, Jumpers, Modern Girl, Entertain, Dig Me Out, The Fox, One Beat, Get Up

Bonnie Fraser (Stand Atlantic)

Stand Atlantic - Skinny Dipping (Official Music Video)

Stand Atlantic วงป๊อปพังก์จากออสเตรเลีย ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดยมี Bonnie Fraser เป็นนักร้องนำและมือกีตาร์ พวกเขาสร้างชื่อเสียงจากการแสดงสดที่เปี่ยมด้วยพลังและความหลงใหล ก่อนที่จะเซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหญ่ Hopeless Records ในปี 2018 หลังจากปล่อยอัลบั้มแรก Skinny Dipping วงก็เริ่มประสบความสำเร็จในวงกว้าง โดยเฉพาะอัลบั้ม F.E.A.R. (2022) ที่ขึ้นบนชาร์ต ARIA จากนั้นพวกเขายังคงทดลองแนวเพลงอย่างต่อเนื่อง เช่นในอัลบั้ม Pink Elephant (2020) ที่เน้นการผสมผสานดนตรีอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น และในปี 2024 พวกเขาก็ได้ปล่อยอัลบั้มชุดที่สี่ Was Here มีเพลงร่วมกับศิลปินอย่าง PVRIS และ Bruses ด้วยการปรับเปลี่ยนแนวดนตรีที่หลากหลายและไม่หยุดนิ่ง ทำให้ Stand Atlantic กลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีที่น่าจับตามองในวงการป๊อปพังก์

นอกจากนี้แล้ว Bonnie Fraser เปิดเผยตัวตนว่าเธอเป็น Bisexual พวกเขาใช้เพลงเพื่อพูดถึงประเด็นทางสังคมและการเมือง เธอบอกกับ Kerrang เมื่อปี 2020 ว่า “ฉันใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ทุกวัน ฉันจำได้ว่าตอนที่ฉันยังไม่เปิดเผยตัวตน สิ่งเดียวที่ฉันคิดถึงคือความจริงที่ว่าฉันชอบผู้หญิง และฉันก็กลัวเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกไป ตอนนั้นฉันก็ชอบผู้ชายด้วย เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ฉันคิดมากไปหมด” บอนนี่เล่า “แต่ทันทีที่ฉันเปิดเผยตัวตน ฉันก็ตระหนักว่าแรงกดดันทั้งหมดนั้นเกิดจากความกลัวของตัวเอง และความพยายามที่จะทำตัวให้เข้ากับคนอื่น”

“เมื่อคุณเริ่มใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ คุณจะรู้ว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรเลย” เธอกล่าวเสริม “ผู้คนควรพูดถึงตัวตนของตัวเองหากพวกเขารู้สึกสบายใจ และการแสดงออกถึงตัวตนก็สำคัญต่อการสร้าง ‘ตัวแทน’ เพราะนั่นคือสิ่งที่ช่วยฉันในท้ายที่สุด การได้พบคนที่พูดถึงประสบการณ์และความรู้สึกของพวกเขาช่วยได้มาก คุณสามารถฟังพอดแคสต์หรือดูวิดีโอเหล่านั้นได้ตลอดไป แต่สิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปก็ต่อเมื่อคุณตัดสินใจที่จะเชื่อใจคนรอบข้างและรู้ว่าคุณอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย ฉันเกือบลืมไปแล้วว่าฉันหลงใหลในเรื่องนี้มากแค่ไหน” 

บอนนี่รู้สึกขอบคุณที่ยุคนี้มีการแสดงออกถึงความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ทำให้ผู้คนสามารถเห็นตัวเองในคนอื่นได้ง่ายขึ้น และหากเธอสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครสักคนได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่วิเศษมากสำหรับเธอ

Stand Atlantic
Genre: Pop punk
เพลงแนะนำ: deathwish (feat. nothing,nowhere.), f.e.a.r., Girls Run Australia!, ROCKSTAR และ G.A.G

ศิลปิน R&B และ Soul Bisexual ที่น่าจับตามอง

Janelle Monáe

Janelle Monáe - Lipstick Lover [Official Music Video]

Janelle Monáe คือศิลปินผู้สร้างสรรค์แนวเพลงและภาพลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ผสมผสาน R&B, Funk, Soul เข้ากับแนวคิด Afrofuturism เธอได้ประกาศว่าตนเองเป็น Pansexual ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขยายความเข้าใจเรื่อง Bisexuality ในวงการเพลง โดยเธอใช้ดนตรีเพื่อเฉลิมฉลองอัตลักษณ์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนผิวดำ

แนวคิด Afrofuturism ของ Janelle Monáe เป็นการท้าทายเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่กีดกันคนผิวสี การที่เธอประกาศตัวตนว่าเป็น Pansexual และนำเสนอในบทเพลงอย่าง “Make Me Feel” และ “Pynk” เป็นการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับคนที่มีอัตลักษณ์คล้ายคลึงกัน นี่คือการใช้ดนตรีไม่เพียงแค่สะท้อนความเป็นจริง แต่เป็นการ “สร้าง” ความเป็นจริงใหม่ที่เต็มไปด้วยการยอมรับและความเท่าเทียม

Janelle Monáe
Genre: R&B, Funk, Soul, Afrofuturism*
เพลงแนะนำ: Django Jane, Lipstick Lover, Q.U.E.E.N., Make Me Feel, Pynk

* Afrofuturism เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสมัยนิยมของคนผิวดำมาอย่างยาวนาน เป็นการผสมผสานความเป็นชาวแอฟริกันพลัดถิ่น เข้ากับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และปรัชญา ซึ่ง Afrofuturism เปรียบเสมือนหนทางที่คนผิวดำจะได้มองเห็นและการขยายขอบเขตความคิดใหม่ๆ และการกำหนดอนาคตด้วยตัวเอง

Keiynan Lonsdale

Kiss The Boy [Piano Version]- Keiynan Lonsdale (Official Music Video)

Keiynan Lonsdale) เป็นนักแสดง นักเต้น และนักร้อง-นักแต่งเพลงชาวออสเตรเลียเชื้อสายไนจีเรีย เขาเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 16 ปี เคยแสดงในภาพยนตร์และซีรีส์ของสหรัฐอเมริกา อย่าง Love, Simon และซีรีส์ The Flash อีกด้วย

นอกเหนือจากงานแสดงแล้ว ลอนสเดลยังเป็นศิลปินเพลงที่มีผลงานโดดเด่น โดยแนวเพลงของเขามีการผสมผสานระหว่างป๊อป, R&B และอิเล็กทรอนิกส์ เขาเปิดตัวอัลบั้มแรก Rainbow Boy ในปี 2020 เกี่ยวกับการต่อสู้กับแรงกดดันทางสังคมและการค้นพบตัวเอง นอกจากนี้แล้ว เขายังเปิดเผยตัวตนว่าเป็น bisexual ในปี 2017 และได้กล่าวว่า “ผมชอบผู้หญิง และผมก็ชอบผู้ชาย” เขายังคงทำงานในวงการบันเทิงและใช้แพลตฟอร์มของตัวเองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

Keiynan Lonsdale
Genre: R&B, Pop
เพลงแนะนำ: Higher, Good Life, Kiss The Boy, MAMACITA และ See You There

Sammy Rae & The Friends

Sammy Rae & The Friends - Closer To You (Live from Soundcheck)

Sammy Rae & The Friends เป็นวงดนตรีที่รวมกลุ่มนักดนตรี, นักฝัน และศิลปินที่หลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน  แนวเพลงของพวกเขาคือการหลอมรวมอิทธิพลทางดนตรีของแซมมี่ (Sammy) ที่มีรากฐานจากแนวคลาสสิกร็อก, โฟล์ก และฟังก์ โดยมีการเติมกลิ่นอายของโซลและแจ๊สเข้าไป วงดนตรีที่สมบูรณ์แบบด้วยไลน์เครื่องดนตรีครบครัน ทั้งเครื่องเคาะจังหวะ แซกโซโฟนสองตัว คีย์บอร์ด และเครื่องเพอร์คัสชั่นมากมาย ทำให้ Sammy Rae & The Friends สามารถแสดงโชว์ที่เต็มไปด้วยพลัง ความมีชีวิตชีวา และไร้ขีดจำกัดต่อผู้ชมที่ขายบัตรหมดเกลี้ยงได้ในทุกที่

สำหรับนักร้องนำของวงอย่าง Sammy Rae เธอเปิดตัวว่าเป็นไบเซ็กชวล และได้บอกกับ Xtra Magazine ว่า “ ในฐานะไบเซ็กชวล ฉันเองก็มีเพื่อนหลายคน แม้กระทั่งสมาชิกในวง ที่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของไบเซ็กชวล ว่าเป็นความชอบแบบ 50/50 ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดีและเป็นการเหยียดเพศอย่างมาก เราต้องค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับเพื่อนเหล่านั้นที่แม้จะตั้งใจดีแต่ก็ยังเข้าใจผิดอยู่เสมอ เพราะความเป็นเควียร์ไม่ได้เป็นเรื่องตายตัว มันสามารถเปลี่ยนแปลง, ปรากฏ, และหายไปได้ เป็นเรื่องที่ลื่นไหล การเป็นเควียร์คือการมีตัวตนที่ไร้ขีดจำกัด”

Sammy Rae & The Friends
Genre: R&B
เพลงแนะนำ: Rock, Funk, Soul, และ Jazz

Domo Wilson

Bisexual Anthem- By Domo Wilson (Official Music Video)

Domo Wilson ศิลปินที่สร้างชื่อเสียงจากการนำเสนอตัวตนในฐานะ bisexual อย่างเปิดเผย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านเพลงไวรัลของเธอในปี 2019 ที่ชื่อว่า “Bisexual Anthem” ที่เป็นเหมือนบทประกาศที่ชัดเจนว่าเธอมีความชอบทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทั้งยังท้าทายกรอบความคิดเดิมๆ ที่มักจะมองว่าคน bisexual เป็นคนที่ไม่แน่นอนหรือไม่ซื่อสัตย์ นอกจากนี้เธอยังใช้แพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น TikTok เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่และสร้างการยอมรับให้กับคนในชุมชน bisexual ด้วยการแบ่งปันประสบการณ์และความชอบส่วนตัวอย่างตรงไปตรงมา

ผลงานของ Domo Wilson คือการเป็นตัวแทนให้กับชุมชนไบเซ็กชวล การที่เธอประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนช่วยท้าทายและลบล้างความเข้าใจผิดที่ว่าไบเซ็กชวลเป็นคนที่ไม่มั่นคงหรือสับสนในตัวเอง เธอยังคงมุ่งเน้นไปที่การแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริง โดยย้ำว่าเธอเป็นเพียงตัวแทนของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ตัวแทนของไบเซ็กชวลทั้งหมดด้วย

Domo Wilson
Genre:
Hip-Hop, Rap
เพลงแนะนำ: Bisexual Anthem และ I Wish I Never Met You

การเดินทางของศิลปิน Bisexual ในวงการดนตรีสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้เพื่อการยอมรับที่ยาวนานและต่อเนื่อง จากยุคที่ศิลปินอย่าง Ma Rainey และ Sister Rosetta Tharpe ต้องประกาศตัวตนอย่างกล้าหาญในโลกที่ยังปิดกั้น ไปจนถึงยุคที่ศิลปินอย่าง Lou Reed ใช้ดนตรีเพื่อเยียวยาบาดแผลและท้าทายขนบสังคม และเข้าสู่ยุคปัจจุบันที่ศิลปินอย่าง dodie, MILLI, และ Mad Tsai สามารถใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสร้างชุมชนและประกาศตัวตนอย่างตรงไปตรงมา

ดนตรีจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องราวความรักและความสัมพันธ์ แต่เป็นเครื่องมือในการสร้างการมองเห็น (Visibility) และเป็นพื้นที่แห่งการปลดปล่อยตัวตนทางเพศและอัตลักษณ์ที่หลากหลาย การเปิดใจฟังเพลงของศิลปินเหล่านี้จึงเป็นมากกว่าแค่การฟังดนตรี แต่เป็นการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์และร่วมสนับสนุนความหลากหลายที่ถักทออยู่ในทุกจังหวะของเสียงเพลง

Playlist: Be Bi+, Be Beautiful [Bi Visibility Playlist]

สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับศิลปินเควียร์ได้ที่นี่

Resources:

  • https://si-siris.blogspot.com/2019/10/prove-it-on-me-ma-rainey-and-queer-blues.html
  • https://www.songsthatsavedyou.com/p/no-6-strange-things-happening-every
  • https://atibhopwritings.wordpress.com/2017/04/24/rosettatharpe/
  • https://outinthecity.org/2022/01/13/the-story-of-sister-rosetta-tharpe-rare-footage-of-fire-island-gay-wedding/
  • https://www.songsthatsavedyou.com/p/no14-walk-on-the-wild-side-lou-reed
  • https://bi.org/en/famous/lou-reed
  • http://web.archive.org/web/20160215200958/http://divinevarod.com/2012/07/15/david-bowie-forgotten-1990s-interview-resurfaces-no-one-should-hide-their-sexuality/
  • https://www.teamwass.com/music/noahfinnce/
  • https://bi.org/en/famous/billie-joe-armstrong
  • https://schedule.sxsw.com/2025/artists/2204637
  • https://tnam.uk/new-track-beth-mccarthy-good-bi/
  • https://stanforddaily.com/2020/05/20/norwegian-artist-aurora-aksnes-is-a-muse-for-the-electro-dark-pop-generation/
  • https://www.reddit.com/r/popheads/comments/1fy9ykh/im_orla_gartland_an_irish_singer_songwriter/
  • https://www.redbull.com/us-en/theredbulletin/orla-gartland-music-interview
  • https://www.cosmopolitan.com/uk/love-sex/a38235876/orla-gartland-sexuality-relationships/
  • https://www.thenoizemag.com/2020/10/gettoknow-baby-queen/
  • https://www.gaytimes.com/culture/dove-cameron-covers-gay-times-magazine-i-felt-like-i-wouldnt-be-accepted/
  • https://people.com/tv/dove-cameron-shares-how-her-life-has-changed-since-coming-out-queer/
  • https://www.teenvogue.com/story/dove-cameron-always-knew-she-wasnt-straight-even-if-hollywood-didnt
  • https://people.com/music/halsey-bisexual-not-a-phase-difficult-coming-out/
  • https://www.orchestrasforall.org/blog/lgbtqia-musicians-who-totally-rock-our-world
  • https://www.thepinknews.com/2023/02/17/arlo-parks-queer-identity-music/
  • https://homoground.com/ahli-nashville-tn-episode-257/
  • https://www.positionmusic.com/artist/NjE4MDEyLTViM2I2Yw/category/artists
  • https://bi.org/en/famous/carrie-brownstein
  • https://diva-magazine.com/2020/08/19/carrie-brownstein-i-find-homonormativity-pretty-boring/
  • https://www.kerrang.com/stand-atlantics-bonnie-fraser-is-a-voice-for-rocks-next-generation
  • https://www.gaytimes.com/originals/stand-atlantics-bonnie-fraser-on-coming-out-lgbtq-labels-and-new-music/
  • https://bi.org/en/famous/keiynan-lonsdale
  • https://www.dailymotion.com/video/x7dyeod
  • https://xtramagazine.com/culture/sammy-rae-and-the-friends-tour-216452
  • https://www.facebook.com/watch/?v=312379725980558
  • https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_8212819
  • https://nettwerk.com/artist/sammy-rae-the-friends/
Previous

[Exclusive Interview] EGOISM: Sydney’s Dream pop Trio Ready to Take on Asia with “And Go Nowhere”

Tyler Ballgame ปล่อยซิงเกิลใหม่ I Believe In Love พร้อมประกาศอัลบั้มเปิดตัว ‘For The First Time, Again’ ที่ทุกโน้ตคือเรื่องราว

Next